ห้าสิบหนี้เก้าร้อยล้าน หกสิบรวยหมื่นล้าน

14 January 2025

Share on

ผมรู้จักพี่วัฒน์ วรวัฒน์ ชิ้นปิ่นเกลียว แห่ง Thai coconut ตอนที่พี่วัฒน์มาสมัครเรียนหลักสูตร abc ที่ผมจัดในวัยหกสิบกว่าปี ตอนมาเรียนพี่วัฒน์ก็เริ่มรวยแล้ว มีบ้านหลังใหญ่ พี่วัฒน์กำลังจะเข้าตลาดหลักทรัพย์ แล้วก็เคยเล่าถึงธุรกิจมะพร้าวที่พี่วัฒน์ทำ ผมก็ฟังผ่านๆ ด้วยความไม่รู้อะไรมากนัก

 

แต่พอพี่วัฒน์ชวนไปโรงงานที่ราชบุรี ผมก็เริ่มสนใจมาก เพราะโรงงานของพี่วัฒน์ไม่เหมือนที่ไหน นอกจากมาตรฐานสูงมากตามระดับโรงงานส่งออกทั่วไป ผู้คนในโรงงานตั้งแต่ผู้บริหารจนถึงคนงานพม่าดูจะมีพลัง กระตือรือร้น รักบริษัท ภูมิใจในบริษัทผิดโรงงานทั่วไปจนรู้สึกถึงพลังพิเศษบางอย่างที่บริษัทอื่นไม่มี มารู้ภายหลังว่าพี่วัฒน์เป็น leadership coach ที่สอนลูกศิษย์มาเป็นพัน ถึงพอจะเข้าใจได้มากขึ้น

 

ตอนจะพาบริษัทจะเข้าตลาดหลักทรัพย์ พี่วัฒน์ก็มาปรึกษาอยู่บ้าง และได้ยินตอนที่พี่วัฒน์ได้ราคาประเมินจากที่ปรึกษาทางการเงินว่าหุ้นควรจะขายราคาเท่าไหร่

 

ปกติคนอื่นจะบอกว่าสูงกว่านี้ได้มั้ย อยากได้ตังค์มากที่สุดตอนเข้า พี่วัฒน์เป็นคนแรกที่ผมรู้จักที่บอกว่าไม่เอาราคานี้ อยากตั้งต่ำกว่าราคาที่ที่ปรึกษาการเงินเสนอหลายสิบเปอร์เซ็นต์ เพราะอยากให้คนที่ซื้อหุ้นได้กำไร ไม่ได้อยากเอาเงินเยอะๆ เป็นแนวคิดที่ผมได้แต่นิยมอยู่ในใจและอาจจะด้วยอานิสงส์ของแนวคิดนี้ หรือเป็นกลยุทธ์ หรือเพราะบริษัทพี่วัฒน์ก็ดีจริงๆ หุ้นพี่วัฒน์ก็เลยขึ้นเอาๆ ใครซื้อไว้ตอนแรกก็กำไรเป็นเท่าในเวลาไม่กี่เดือน พี่วัฒน์ในวัยหกสิบกว่าปีก็เลยกลายเป็นเศรษฐีหมื่นล้านโดยปริยาย

 

พี่วัฒน์เพิ่งมาเล่าที่ HOW Club ที่ผมทำและพี่วัฒน์ก็เป็นสมาชิกอยู่ด้วยว่า คุณรู้มั้ย ตอนอายุห้าสิบ ผมยังเป็นหนี้เก้าร้อยล้านบาทอยู่เลย เพิ่งมามีตังค์ตอนอายุหกสิบนี่แหละ พร้อมเปิดเรื่องราวที่พี่วัฒน์มาเล่าถึงบทเรียนชีวิตด้วยประโยคที่ว่า

 

“…ถ้าความล้มเหลวฆ่าคุณไม่ได้ คุณจะแข็งแกร่งขึ้นอีกร้อยเท่าทวีคูณ…”

พี่วัฒน์เป็นลูกชาวไร่อ้อยที่ราชบุรี เกิดมาก็ต้องช่วยที่บ้านคุมคนงาน ส่งอ้อย ขายอ้อย ตัวเองไม่ชอบทำเกษตรเลย ไม่คิดว่าอยากจะทำต่อ แต่ก็ไปเรียนต่อที่คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จบมาก็คงทำงานโรงงานเป็น QC ชีวิตก็น่าจะเรียบง่ายประมาณนั้น จบมาจริงก็ได้งานที่โรงงาน ดูแล QC กินเงินเดือน มีชีวิตธรรมดามาเรื่อยๆ

 

แรงบันดาลใจ

พี่วัฒน์เล่าว่าเหตุบันดาลใจให้อยากเป็นเถ้าแก่ก็เหมือนเด็กหนุ่มทั่วไป วันหนึ่งเห็นเจ้าของโรงงานขับรถวอลโว่สีเขียวเข้ามา ช่างเท่เหลือเกินในสายตาหนุ่มน้อย ก็เลยคิดว่าถ้าเป็น QC ต่อไปคงไม่ได้ขับรถดีๆ เริ่มคิดว่าอยากเป็นเจ้าของโรงงานบ้าง

 

พี่วัฒน์บอกว่าแรงบันดาลใจหรือเป้าหมายนั้นสำคัญมาก ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม พอคิดฝันอยากเป็นเจ้าของโรงงาน พี่วัฒน์ก็เลยรู้สึกว่าต้องรู้ให้ครบ ไม่ใช่เฉพาะ QC อย่างเดียว ถ้าไม่อยากได้รถหรูก็คงไม่อยากรู้อะไรเพิ่ม ก็เลยไปขอเรียนวิชาจากบัญชีบ้าง ไปดูเรื่องการผลิตบ้าง ไปศึกษาจากฝ่ายต่างๆ อีกมากมาย

 

เท่านั้นยังไม่พอ แรงขับที่อยากเป็นเจ้าของโรงงานทำให้พี่วัฒน์ไปเรียน MBA กัดฟันจากเงินเดือนหมื่นบาท เช่าที่พักไปหกพัน เสียค่าเรียนสามพัน เหลือแค่ค่ากินเดือนละพัน ทำแบบนี้อยู่สามปีจนจบ

 

โอกาสอยู่ในอากาศ

พี่วัฒน์เล่าว่าโอกาสในชีวิตหลายครั้งก็มาจากเพื่อนฝูงกัลยาณมิตรที่ช่วยเหลือแนะนำกัน พี่วัฒน์ได้เพื่อนแนะนำว่าโรงงานผลิตไอศครีมแห่งหนึ่งขาดกะทิในการผลิต พี่วัฒน์ก็เลยลองใช้วิชา QC ที่มีไปตลาดพงษ์เพชร เอามะพร้าวมาคั้นกะทิทำพาสเจอไรซ์ใส่ถุงไปขาย เพราะมีความรู้อยู่บ้าง ปรากฏว่าผ่านมาตรฐาน เพื่อนๆ ที่เรียนด้วยกันก็แนะนำไปโรงงานอื่นอีก

 

ซักพักพี่วัฒน์ก็เลยขอตังค์พ่อตาสามแสนมาเปิดโรงงานเล็กๆ ซึ่งต่อมาก็ย้ายไปตั้งที่ราชบุรีบ้านเกิด ขอเงินพ่อตา เงินตัวเองและกู้แบงค์หลายล้านและก็ได้เป็นเจ้าของโรงงานสมใจ

 

อีโก้และความโลภ

ในวัยไม่ถึงสี่สิบ ธุรกิจโรงงานมะพร้าวไปได้ดี ยอดขายหลายร้อยล้าน กำไรปีละยี่สิบสามสิบล้าน เริ่มรวยแต่ไม่โต พี่วัฒน์ก็เริ่มใช้ชีวิตแบบหลงตัวเอง ขับเบนซ์ เที่ยวกลางคืน และเริ่มคิดว่าอยากรวยกว่านี้ อยากมีธุรกิจพันล้าน

 

ในช่วงนั้นอุตสาหกรรมสับปะรดบูมมาก พี่วัฒน์คิดว่าไม่น่ายากเพราะเป็นโรงงานแปรรูปผลไม้เหมือนกัน ด้วยความมีคารม เข้าใจทริกทางธุรกิจ ก็ไปกู้ธนาคารมา 900 ล้าน กะรวยเป็นพันล้าน พอทำจริงสับปะรดขาดทุนยับ ขาดทุนปีละร้อยล้านอยู่หลายปีจนกระแสเงินสดแทบหมด ที่เพิ่มมาคือหนี้

 

ไม่เป็นสับปะรด

พี่วัฒน์บอกว่า บทเรียนจากการเจ๊งที่ใหญ่สุดในชีวิตคือความเข้าใจว่าแต่ละธุรกิจมี key success factor ของมัน ทำอันหนึ่งได้ก็ใช่ว่าจะเอาไปใช้กับอีกอันได้ ต่อให้คล้ายกันมากก็ตาม

 

ธุรกิจสับปะรดมีฤดูกาลของมัน ราคาสวิงมากจากโลละ 2 บาทเป็น 10 บาทได้ คนมีเงินสดก็จะซื้อราคาถูกเก็บไว้แล้วรอขายตอนแพง แต่พี่วัฒน์เป็นเงินเชื่อ รอเก็บไม่ได้ก็เหมือนแมงเม่าในตลาดหุ้น นอกจากนั้นพอขายต่างประเทศก็ไม่เข้าใจเรื่องป้องกันความเสี่ยง โดนค่าเงินเล่นงานเข้าไปอีก

 

พี่วัฒน์บอกว่าเกมส์สับปะรดคือเกมส์การเงิน ต้องมีเงินเย็น เงินสด พวกเจ้าใหญ่ถึงรวยเอาๆ ส่วนเจ้าเล็กก็แพ้หมดในตอนนั้น เพราะความไม่เข้าใจ คิดว่าเหมือนมะพร้าวที่ผลิตได้ดีก็ขายได้ แต่ละธุรกิจมันมี key success factor ของมัน พอไม่พยายามเข้าใจก็พังเพราะความไม่เป็นสับปะรดของตัวเองจริงๆ

 

จุดต่ำสุดในชีวิตและบทเรียนที่สำคัญที่สุด

ในตอนใกล้ห้าสิบ พี่วัฒน์หมดตัว แทบไม่มีเงินสด เป็นหนี้อีกเก้าร้อยล้าน ลามไปโรงงานกะทิ โรงงานมะพร้าวที่ยังพอกำไรแต่ไม่มีตังค์จ่ายคนงาน

 

พี่วัฒน์บอกว่าจุดที่รู้สึกต่ำสุดๆ คือนอนนิ่งๆ ในห้องสามวันไม่ไปไหน คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย แต่ในที่สุดก็รู้สึกว่ายังมีกำลังใจ มีภาระ มีลูกเมีย มีคนงานต้องเลี้ยงอีกเป็นพันคน ก็เลยออกมาจากห้องแล้วฮึดสู้ต่อ

 

พี่วัฒน์บอกว่า เข้าใจได้เลยว่าทำไมหลายบ้านหลายครอบครัวถึงยอมแพ้ บางทีถึงกับจบชีวิต เพราะเวลามันดิ่งมากๆ มันดูมืดมน แต่ก็ได้กัลยาณมิตรมาคอยให้คำปรึกษา ได้คนรอบข้างให้กำลังใจ พี่วัฒน์ก็เลยลุกขึ้นมาสู้ต่อ ซึ่งเป็นคำที่พี่วัฒน์เปิดตอนเล่าเรื่องว่า “…ถ้าความล้มเหลวฆ่าคุณไม่ได้ คุณจะแข็งแกร่งขึ้นอีกร้อยเท่าทวีคูณ…”

 

วิธีคิดแบบตัวเม่น

พี่วัฒน์อ่านหนังสือมาก ในช่วงตกต่ำก็ไปอ่านหนังสือฝรั่งชื่อ good to great เป็นเรื่องราวของบริษัทที่ยิ่งใหญ่ของฝรั่ง มีเรื่องหนึ่งพูดถึงตัวเม่นว่า เสือและหมาป่าไม่เคยกินตัวเม่นได้ เพราะมันม้วนตัวและมีหนามแหลม

 

แม้เม่นจะเก่งแค่การม้วนตัว แต่ก็เก่งด้านนี้เป็นที่สุด พี่วัฒน์เลยตั้งใจที่จะเก่งมะพร้าวที่สุดให้ได้ ศึกษาดูงาน เข้าใจวัตถุดิบ แหล่งที่มาทั่วโลก เข้าใจการผลิต รสชาติ เข้าใจทุกอณูของความเป็นมะพร้าว เริ่มใหม่จากสิ่งที่มีในตอนนั้น

 

อีกเรื่องที่หนังสือเล่มนี้เตือนสติพี่วัฒน์ก็คือ คนที่ร่วมหัวจมท้ายกัน ถ้าเป็นคนที่มีทัศนคติที่ดี รักบริษัท จะนำมาซึ่งความเจริญเป็นบริษัทที่ยิ่งใหญ่ได้ แต่ก่อนพี่วัฒน์คิดแต่ดูถูกลูกน้องว่าไม่เห็นเก่ง รำคาญ ตัวเองเก่งสุด ลูกน้องพูดไม่จบก็ขัด ไม่เคยฟัง เอาตัวเองเป็นใหญ่ พออ่านแล้วคิดได้พี่วัฒน์ก็เริ่มต้นตัวเองใหม่ในวัยห้าสิบปี..

 

อีกบทเรียนที่ได้จากความล้มเหลวก็คือ พลาดที่ไม่รู้ key success factor ไม่ใส่ใจดูบัญชีการเงิน ไม่ชอบดู ให้แต่นักบัญชีดู เพราะเห็นเป็นเรื่องไร้สาระ พอไม่แม่นตัวเลขก็ปรับอะไรไม่ได้ แต่พอเงินหมดก็เลยต้องหันมาเรียนจริงจัง

 

พี่วัฒน์ดูทุกเม็ด จนขนาดรู้ว่ารถโฟล์คลิฟท์ที่มี 50 คันนั้นกินน้ำมันเดือนละเท่าไหร่ ถ้าคันไหนกินเยอะก็แสดงว่าวิ่งผิดเส้นทาง แค่เรื่องโฟร์คลิฟท์ พอใส่ใจก็ประหยัดได้เดือนละเป็นแสน ตัวเลขจึงสำคัญสำหรับผู้ประกอบการมากๆ ไม่รู้ต้นทุน ไม่รู้บัญชีอย่างลึกซึ้งไม่ได้เด็ดขาด และที่สำคัญ พี่วัฒน์มีใจที่สำคัญมากๆ มีศรัทธาที่พี่วัฒน์บอกว่าสำคัญมาก คิดว่าถ้าขยันสู้ต่อ ยังไงก็รอดสิน่า…

 

อดทนผ่านแผนฟื้นฟู

พี่วัฒน์มีกัลยาณมิตรเป็นที่ปรึกษาการเงินคู่ใจ พาเข้าแผนฟื้นฟูกิจการ ค่อยๆลดหนี้ ใช้หนี้ธนาคาร ตั้งใจทำมะพร้าวให้เป็นเต้ยในวงการ ไม่ใช่แค่ระดับประเทศ แต่ต้องเก่งอันดับต้นๆในโลก

 

พี่วัฒน์อยู่กับมะพร้าวทั้งวันทั้งคืน ผ่อนเจ้าหนี้อยู่ห้าปี โอนทรัพย์สินทั้งหมดเข้าแผนจนเหลือแค่บ้าน บทเรียนที่สำคัญอีกประการก็คือว่าสมบัติไม่ตายหาใหม่ได้ มีเงินก็ซื้อคืนได้ อย่าไปยึดติด เอาไปลดดอกเบี้ยเพื่อลดภาระดีกว่า จะได้ออกจากก้นเหวนั้นได้

 

ถ้าความล้มเหลวฆ่าคุณไม่ได้ มันจะทำให้คุณแกร่งขึ้นร้อยเท่าทวีคูณ

พี่วัฒน์เล่าถึงเหตุการณ์หนึ่งที่พี่วัฒน์เดินทางไปเจรจาโรงงานทำกระป๋อง เพราะเป็นต้นทุนหลักของการผลิตช พี่วัฒน์ขอเจอเจ้าของโรงงานกระป๋องที่ใหญ่ระดับหมื่นล้าน เป็นอาเจ็กอายุแปดสิบ

 

พี่วัฒน์ไปบอกว่าไม่มีตังค์ตอนนี้ ขอเครดิตอาเจ็ก ขอให้อาเจ็กช่วยเพราะเพิ่งเริ่มฟื้น ก่อนเจรจาอาเจ็กถามว่าลื้อเจ๊งมากี่ครั้งแล้ว พี่วัฒน์ตอบว่าหนึ่งครั้ง อาเจ็กขำแล้วบอกว่า ลื้ออ่ะเหล็กๆ (เด็กๆ) อั๊วเจ๊งมาสามรอบแล้วโว้ย แล้วก็หัวเราะชอบใจให้เครดิตพี่วัฒน์ในฐานะที่เจ๊งแล้วมีประสบการณ์และแข็งแรงขึ้น น่าไว้ใจได้กว่าไม่เคยเจ๊งมาก่อน

 

พี่วัฒน์ค่อยๆ ใช้หนี้และซื้อสินทรัพย์คืนมา ใช้เวลาทั้งหมดสิบปี เป็นเจ้าของอีกครั้งในวัยหกสิบเอ็ดปี..

การค้นพบครั้งสำคัญ

ในระหว่างที่เข้าแผนฟื้นฟู พี่วัฒน์คิดได้ถึงการพัฒนาตัวเอง การดูแลลูกน้อง พี่วัฒน์เริ่มใช้วิธีใหม่ในการทำธุรกิจ และสนใจไปเรียนการเป็น leadership coach เริ่มสอน เริ่มเอามาใช้ในกิจการและยิ่งได้เห็นศาสตร์และศิลป์ในการเป็นผู้นำ ยิ่งใช้บริษัทยิ่งเติบโต

 

พี่วัฒน์มีวิธีคิดที่แนะนำน้องๆ รุ่นใหม่ว่า การทำธุรกิจประการแรกต้องเก่งที่สุดในพื้นที่ตัวเองเหมือนตัวเม่น พี่วัฒน์มั่นใจว่าเรื่องน้ำมะพร้าวไม่เป็นรองใครในโลก น่าจะส่งออกมาสุดในโลกด้วยซ้ำ และถ้าไประดับโลกได้ โอกาสก็จะมาอีกมาก คนทั่วโลกจะติดต่อมาตลอดเวลา

 

ประการที่สอง ทำธุรกิจต้องรัก ไม่ใช่รวย และประการที่สาม ต้องไม่มีโลภ โกรธ และหลงไปกับมัน พี่วัฒน์บอกว่าแปลกมาก ถ้าโลภอยากรวยไม่เคยสำเร็จ พอไม่ซีเรียสกับได้เยอะกว่า รวยมาทีหลังถ้ารักมันมากพอ จากประสบการณ์อีโก้ที่พาพี่วัฒน์หายนะจากสับปะรด แล้วพอคิดได้ก็ตั้งหลักได้จนทุกวันนี้

 

คนยอดเยี่ยม

เมื่อก่อนพี่วัฒน์มองลูกน้องแบบดูถูก คิดว่าไม่เก่ง ไม่รู้อะไร ไม่รู้ว่าอะไรบดบังความคิด แต่พอคิดได้ เริ่มมองลูกน้องเป็นพันว่าแต่ละคนก็มีความยอดเยี่ยมของตัวเอง ต้องพยายามหาทางเอาความยอดเยี่ยมของแต่ละคนออกมาให้ได้ พร้อมทั้งเข้าใจจุดบอดของแต่ละคน

 

พี่วัฒน์เริ่มเปลี่ยนจากการเบรกไม่ให้พูด การสั่งสอน เป็นการฟังมากขึ้น พูดทีหลังลูกน้องและพูดน้อยๆ พยายามให้เขาคิดมาก่อนแล้วถามเยอะๆ จะให้แต่มุมมองบ้าง เดิมพี่วัฒน์บอกมีหนึ่งสมองสองมือ พอให้คนเปล่งศักยภาพได้ ตอนนี้มีเป็นร้อยสมองหลายร้อยมือ ช่วยกันคิด ช่วยกันทำ

 

พี่วัฒน์ไปเรียนโค้ชแล้วสอนลูกน้องต่อๆ กันให้เป็นหัวหน้าที่ดี ด้วยการมองลูกน้องว่าแต่ละคนมีความยอดเยี่ยม แต่ละคนมีหมาป่าดำขาวในตัว จะดึงด้านดี ด้านเก่งออกมาได้ยังไง สอนว่ามนุษย์มีความต่างด้านทัศนคติ เกิดจากประสบการณ์ชีวิตของแต่ละคน ถ้ามาจากสลัมเห็นยาบ้าก็คงเฉยๆ ไม่เหมือนคนที่เติบโตมาไฮโซ สอนให้มีความเมตตาต่อเพื่อนร่วมงาน ต่อให้ลูกน้องเอาเงินไปหมุนแล้วจับได้ก็จะถามก่อน บางทีเขาอาจจะทำเพราะจำเป็น มีคนทางบ้านป่วยหนักก็ได้ ไม่ด่วนตัดสินใคร เราไม่ใช่ถูกทั้งหมด และเขาก็ไม่ใช่ผิดทั้งหมด

 

มนุษย์เกิดมาเพื่ออะไรบางอย่างแต่ไม่ใช่ทุกอย่าง พี่วัฒน์ยกตัวอย่างว่า ถ้าลูกน้องมีแขนเดียวจะให้เขาหยิบของเร็วๆ ได้ดั่งใจก็ไม่ได้ ให้เขาทำอย่างอื่นดีกว่า ต้องเข้าใจคนอื่น เข้าใจที่มาที่ไปว่าเขากลัวเพราะอะไร อาจจะเคยเจอเรื่องร้ายมาก่อน สอนให้หัวหน้ารู้จักอ่านใจคน และให้ถามตัวเองว่าเวลามีเรื่องผิดพลาดว่าเราเป็นต้นเหตุอะไรได้บ้าง ไม่ใช่โทษแต่ลูกน้องอย่างเดียว

 

แรงบันดาลใจกับแรงจูงใจ

ที่ thaicoconut มี turnover rate 0.3% พี่วัฒน์บอกว่าต้องให้ทีมงานมีสองแรงเสมอ แรงจูงใจคือต้องอิ่มหมีพีมัน ลูกน้องพี่วัฒน์เงินเดือนธรรมดาแต่โบนัสดีมาก ปีที่แล้วได้กันเจ็ดเดือน ระดับผู้จัดการมีหุ้นพอเข้าตลาดก็ได้กันหลายล้าน พี่วัฒน์จ่ายโบนัส 20% จากกำไร ทำให้ทุกคนขายแหลก คอยระวังไม่ให้ของเสีย ช่วยกันดูแลทุกจุด

 

ส่วนแรงบันดาลใจ พี่วัฒน์บอกว่าต้องมีคู่กับแรงจูงใจ เป็นแรงขับที่ไม่เกี่ยวกับเงิน บริษัทพี่วัฒน์ไม่ได้รับคนเรียนสูง ลูกจ้างรายวันก็ไต่เต้าเป็นผู้จัดการเงินเดือนแสนได้ถ้ามีผลงาน มีความภูมิใจ ใครทำงาน thaicoconut ที่ราชบุรีนี่เหมือนทำ google ในสายตาคนในหมู่บ้าน พี่วัฒน์เล่าแบบติดตลก พี่วัฒน์ให้เวทีน้องๆ ได้แสดง ได้ทำ ได้เล่าให้เจ้านายฟัง ทำแล้วประสบความสำเร็จก็ภูมิใจ

 

ผู้บริหารระดับสูงก็มีผลตอบแทนที่ดี บางคนจบพยาบาลแล้วไปเรียนการเงินจนกลายเป็นหัวหน้าใหญ่ บางคนก็จบวิทยาลัยครู จบยิ่งไม่สูงยิ่งรักองค์กรที่ให้โอกาส พี่วัฒน์กินแบ่งเสมอ มองว่าแบ่งกำไร 20% ก็ยังเหลืออีกตั้ง 80 ซึ่งก็เป็นวิธีคิดเดียวกันกับการตั้งราคาหุ้นต่ำตอน IPO เช่นกัน

 

 

ศีล สมาธิ ปัญญา

พี่วัฒน์ศึกษาพระไตรปิฏกต่อหลังจากไปเรียน leadership coach และพบว่าคำสอนที่เรียบง่ายแต่ลึกซึ้งนั้นมีผลต่อการทำธุรกิจมาก พี่วัฒน์อธิบายแบบง่ายว่า ศีลก็คือพฤติกรรมของเรา ถ้าเราพฤติกรรมดี มี integrity มี principle ในการทำธุรกิจก็คือศีล ส่วนสมาธิก็คือจิตใจข้างในที่เข้มแข็ง โอบอ้อมอารีย์

 

ส่วนปัญญาก็คือ intuition หรือปัญญาญาน ทำให้คิดนวัตกรรมหรือแก้ปัญหาได้เมื่อใจสงบ มีสมาธิ
ซึ่งพี่วัฒน์บอกว่าธุรกิจเหมือนกัน เติบโตต่างกันก็ตรงนี้ ซึ่งตอนล้มเหลวสุดๆ พี่วัฒน์ไม่มีซักอย่างเลย

 

หนี้เก้าร้อยล้านในวัยห้าสิบ รวยหมื่นล้านในวัยหกสิบ

พี่วัฒน์ในวัยหกสิบก็ยังสนุกกับการทำงานและตั้งใจว่าจะทำถึงแปดสิบ แล้วอยากไปทำโรงเรียนสอนคนต่อ และมองว่าการมีเงินเยอะก็เป็นภาระ เพราะตัวเองไม่ได้อยากได้อะไรเท่าไหร่ ที่เอาบริษัทเข้าตลาดก็เพื่อจะได้มีคนเก่งๆ มาทำงาน ลูกๆ ก็แล้วแต่ตามที่เขาชอบ แต่ก็อยากให้เขาช่วยเหลือคนต่อ

 

พี่วัฒน์ไม่ได้มีความฝันอะไรอีก แต่ชอบให้คำปรึกษาคนที่เฟลมากๆ เพราะตัวเองผ่านมาแล้วก็อยากจะช่วยกระตุ้นให้คนที่อยู่ในหลุมลึกได้สู้ต่อ เพราะถ้าฆ่าไม่ตายก็จะแข็งแกร่งขึ้นเสมอ… พี่วัฒน์ผ่านบททดสอบแบบนั้นมาจริงๆ

 

แน่นอนว่าโลกนี้ไม่มีคำตอบเดียว การประสบความสำเร็จทางธุรกิจนั้นคงมีหลายแบบ แต่ผมชอบแบบพี่วัฒน์มากๆ ที่สำเร็จด้วยความเมตตา แบ่งปัน เก่งในพื้นที่ที่ตัวเองเป็น และมองทุกคนไม่ว่าจะเป็นใครว่ามีความยอดเยี่ยมในทางใดทางหนึ่งเสมอ เป็นพี่ชายที่มีบทเรียนชีวิตที่น่าเผยแพร่ให้ผู้อ่านได้อ่านมากๆ เลยครับ

Share on

Writer

เขียนโดย ธนา เธียรอัจฉริยะ

Photographer

H.O.W. Photographer

Most Popular