การเดินทางของ “Paper Space Asia”

2 October 2025

Share on

บทความนี้จะพาคุณไปสำรวจเส้นทางชีวิตและการทำงานของพี่อุ้ม สมบัติ งามเฉลิมศักดิ Co-Founder & Chief Experience Office ผู้ก่อตั้ง Paperspace Asia บริษัทออกแบบตกแต่งภายในระดับนานาชาติที่ปัจจุบันมีสาขาในสิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ และกรุงเทพฯ ซึ่งดำเนินงานมาเป็นปีที่ 9 แล้ว เพราะเส้นทางนี้ไม่ง่ายเลย แต่ได้เห็นมุมมอง และแรงบันดาลที่ทำว่าคนไทยก็สร้างผลงานระดับโลกได้เหมือนกัน

 

วัยเด็กและวิกฤติเศรษฐกิจ

พี่อุ้มเติบโตมาในครอบครัวชนชั้นกลาง เขาเข้าเรียนเตรียมอุดมศึกษา และเลือกแผนกสถาปัตย์ ไม่ใช่เพราะเก่งด้านวาดรูป แต่เพราะอัตราส่วนการแข่งขันต่ำกว่า สุดท้ายเขาเอ็นทรานซ์ติดอินทีเรียดีไซน์ที่สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง

พี่อุ้มเรียนจบช่วงที่เกิดวิกฤติต้มยำกุ้งในปี 2540 ทำให้ไม่มีงานในตลาด ต้องหารายได้จากการรับจ้างเขียนภาพเปอร์สเปกทีฟ ระบายสีน้ำ และถ่ายรูปรับปริญญา ต่อมามีโอกาสทำงานในบริษัทต่างชาติที่ทำสวนสนุกเป็นเวลาสั้นๆ ประมาณ 1 ปี เจ้าของบริษัทชาวต่างชาติได้แนะนำให้ฝึกภาษาอังกฤษ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้พี่อุ้มตัดสินใจไปเรียนภาษาอังกฤษภาคค่ำ เพราะเขาไม่ได้จบการศึกษาจากต่างประเทศ

 

จุดเปลี่ยนที่ 1: สิงคโปร์และความพยายามที่ไม่ย่อท้อ

เพื่อนสมัยเรียนเตรียมฯ ซึ่งเป็นสถาปนิกที่สิงคโปร์ แนะนำให้เขาไปหางานที่นั่น เพราะหาง่ายกว่าในไทย พี่อุ้มตัดสินใจลอง ด้วยการซื้อตั๋วบินไปสิงคโปร์ 7 วันช่วงสงกรานต์ พร้อมพอร์ตโฟลิโอ แต่ก็ไม่ได้งานเลย เพราะทักษะภาษาอังกฤษที่ยังไม่ดีพอ และตลาดอินทีเรียดีไซเนอร์ที่สิงคโปร์มีผู้จบใหม่เยอะอยู่แล้ว ทำให้ความต้องการต่ำ แม้จะกลับมามือเปล่า แต่ก็ไม่ยอมแพ้ ยังคงส่งพอร์ตโฟลิโอไปหาคนรู้จักที่สิงคโปร์อีก 3-4 เดือน ในที่สุดก็ได้สัมภาษณ์ 2 แห่ง และตัดสินใจเลือกบริษัทออกแบบออฟฟิศที่ตั้งอยู่ใจกลางเมือง เพราะ “ออฟฟิศสวย” ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาทำงานด้าน Office Design มาตลอดตั้งแต่ปี 2001

 

 

โตเร็วท่ามกลางความท้าทาย

การทำงานที่สิงคโปร์เปลี่ยนทัศนคติเขาโดยสิ้นเชิง วันแรกที่เข้าทำงาน ได้เห็นการเลิกจ้างพนักงาน 5 คน ทำให้คิดได้ว่าถ้าไม่ปรับตัว ก็อาจโดนไล่ออกเช่นกัน ด้วยจุดด้อยด้านภาษา จึงชดเชยด้วยการสเก็ตช์ความคิดเป็นภาพเพื่อสื่อสาร และทำงานหนักมากที่สุด เป็นคนแรกที่มาถึงและคนสุดท้ายที่กลับ

วัฒนธรรมองค์กรที่นั่นคือ “โยนลงน้ำ ถ้าลอยก็ทำต่อ ถ้าจมก็ไล่ออก” ทำให้เขาเรียนรู้การทำงานและเติบโตอย่างรวดเร็ว จากจูเนียร์ก้าวขึ้นเป็น Head Designer ได้ภายใน 3 ปี ซึ่งเร็วกว่าที่ไทยถึง 10 ปี

หลังจากทำงานที่สิงคโปร์ 4-5 ปี เขารู้สึกอยากกลับบ้าน และได้รับโอกาสให้มาเปิดออฟฟิศสาขาในประเทศไทยให้กับบริษัทสิงคโปร์ แต่ภารกิจหลักคือการบินไปทำงานที่อินเดีย ซึ่งมี 7 สาขา โดยบินทุก 2 สัปดาห์ การทำงานที่อินเดียทำให้เขาได้พัฒนาทักษะภาษาอังกฤษและการสื่อสารอย่างมาก เพราะต้องอธิบายคอนเซปต์และพรีเซนต์งานด้วยตัวเอง

 

จุดเปลี่ยนที่ 2: กลยุทธ์แบบ “Underdog” พิชิต Facebook

ในฐานะ Lead Designer เขาได้เรียนรู้การสู้แบบ “Underdog” ครั้งหนึ่งบริษัทของเขา ซึ่งเป็นบริษัทเล็ก ได้รับโอกาสพรีเซนต์งานให้กับ Facebook (ซึ่งตอนนั้นอายุเพียง 6 ปี และยังไม่ได้ยิ่งใหญ่เท่าปัจจุบัน) ที่อินเดีย แข่งกับบริษัทอเมริกันยักษ์ใหญ่ พี่อุ้มเสนอให้พรีเซนต์งานด้วย “Hand Sketch” แทนที่จะเป็น 3D Render เหมือนที่คู่แข่งทำ ปรากฏว่า Facebook เลือกบริษัทของเขา เพราะงานสเก็ตช์มือมี “กลิ่นอายของสตาร์ทอัพ” ที่สะท้อนตัวตนของ Facebook ในยุคนั้น นี่คือบทเรียนสำคัญว่าต้อง “สู้ในแบบของเราเอง” ไม่ใช่เล่นตามเกมของยักษ์ใหญ่ กลยุทธ์นี้ทำให้บริษัทชนะงานกับบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีมากมาย เช่น Microsoft, Yahoo, Google, Facebook

 

จุดเปลี่ยนที่ 3: วิกฤตชีวิตส่วนตัวกับการค้นพบตัวเอง

พี่อุ้มประสบความสำเร็จอย่างสูงในวัย 31 ปี ได้หุ้นในบริษัท และมีเป็น “ซูเปอร์สตาร์” ในสายอาชีพ แต่เมื่อมีลูกคนแรกในปี 2008 ลูกกลับป่วยและร้องไห้อย่างหนักช่วงหัวค่ำเป็นเวลา 3 ชั่วโมงทุกวัน ภรรยาเริ่มมีอาการซึมเศร้า ทำให้เขาไม่สามารถรักษาสมดุลระหว่างงานกับชีวิตส่วนตัวได้ ผลงานที่เคยชนะ 70-80% ก็เริ่มลดลง จนเจ้าของบริษัทเริ่มไม่ไว้ใจ เขาตัดสินใจลาออกจากบริษัท คืนหุ้นทั้งหมด เพื่อจัดระเบียบชีวิต

ในช่วง 2 ปีที่เผชิญวิกฤต พี่อุ้มยังคงพยายามทำหน้าที่หัวหน้าครอบครัวและปรับตัว หลังลาออก เขาไม่กล้าบอกภรรยาว่าไม่มีงานทำ และแสร้งทำเป็นไปทำงานทุกเช้า เป็นเวลาร่วมเดือน โดยแท้จริงแล้วเขาไปนั่งสมาธิที่วัด การปฏิบัติธรรมทำให้เขาเรียนรู้ที่จะปล่อยวางความกังวลทั้งในอดีตและอนาคต และอยู่กับปัจจุบัน ซึ่งช่วยให้เขามีภูมิคุ้มกันต่อความผิดหวังและสามารถเริ่มต้นบทใหม่ในชีวิตได้

 

 

การสร้างตัวตนและ Paper Space Asia

พี่อุ้มเริ่มต้นใหม่ด้วยการเป็นอาจารย์พิเศษสอนตามมหาวิทยาลัย และเริ่มสร้าง Personal Branding ด้วยการส่งพอร์ตโฟลิโอ ไปยังนิตยสาร Art 4D จนได้รับการตีพิมพ์ สิ่งนี้ช่วยสร้างเครดิตและดึงดูดลูกค้าในประเทศ เช่น S&P, กาโตว์เฮาส์ ต่อมาเขาได้จดทะเบียนบริษัทของตัวเองครั้งแรก เพื่อรับโปรเจกต์ใหญ่จากลูกค้า และได้ร่วมมือกับนักศึกษาและรุ่นน้องทำโครงการสำคัญอย่าง ตึก KX ที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (บางมด) ซึ่งเป็นตึก 10 ชั้นที่ออกแบบมาเพื่อส่งเสริมระบบนิเวศของ Product Designer

จากนั้น เขามีโอกาสร่วมกับเพื่อนดีไซเนอร์ในสิงคโปร์ (ซึ่งดีไซน์ไม่เก่ง แต่มี Connection) เปิดสาขาที่สิงคโปร์ และได้งานใหญ่ เช่น Airbnb ที่ปักกิ่ง ซึ่งก็ยังคงใช้เทคนิค Hand Sketch เมื่อพบว่า Connection ของเพื่อนไม่แข็งพอต่อการขยายธุรกิจให้ใหญ่ขึ้น เขาจึงตัดสินใจ ก่อตั้ง Paperspace Asia ในปี 2017 โดยดึงอดีตหัวหน้าฝ่ายพัฒนาธุรกิจ (BD) ที่เก่งที่สุดในสิงคโปร์มาร่วมทีม และวางโมเดลธุรกิจที่แตกต่าง จ้างทีมงานออกแบบในไทยและฟิลิปปินส์ (ช่างเขียนแบบ) เพื่อลดต้นทุนบุคลากร ซึ่งเป็นสิ่งที่สิงคโปร์ก็จ้างชาวฟิลิปปินส์อยู่แล้ว

ด้วยกลยุทธ์และทีมที่เหมาะสม Paperspace Asia ใช้เวลา 3 ปี ก็สามารถชนะงานกับลูกค้ารายใหญ่ระดับโลกได้อีกครั้ง เช่น Google, Facebook, Netflix, Shopee, Microsoft

 

ขอคุณภาพจาก Facebook : Paperspace Thailand

 

ปรัชญาการออกแบบของ Paper Space Asia

Paperspace Asia ไม่เพียงแค่ออกแบบพื้นที่ แต่ต้องการสร้างพื้นที่ที่ “มีอิทธิพลต่อความคิดมนุษย์และสร้างแรงบันดาลใจ”โจทย์สำคัญคือการตั้งคำถามว่า “เราจะสร้างประสบการณ์อะไรในพื้นที่นี้ได้บ้าง?” ยกตัวอย่าง ออฟฟิศ Google Thailand ที่ออกแบบโดยเล่าเรื่อง “แม่น้ำเจ้าพระยา” จากอดีตสู่ปัจจุบัน เปลี่ยนจากแผนที่ 2 มิติเป็นเมือง 3 มิติ และไหลไปทั่วออฟฟิศ โดยแต่ละจุดที่แม่น้ำไหลผ่าน บรรยากาศก็จะเปลี่ยนไปตามภูมิประเทศของกรุงเทพฯ

ลูกค้าที่เหมาะสมกับ Paperspace คือลูกค้าที่ให้ทิศทางที่ชัดเจน ว่าอยากจะพาองค์กรไปที่ไหน และอยากให้พื้นที่นั้นทำหน้าที่อะไร และเปิดโอกาสให้ดีไซเนอร์ได้นำเสนอ ไม่ใช่แค่บอกว่าอยากได้อะไรเป๊ะๆ หรือไม่รู้จะทำอะไรเลย พี่อุ้มยังเน้นย้ำถึง ผลลัพธ์ที่แตกต่างของการออกแบบที่ดี โดยยกตัวอย่าง สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ที่หลังจากปรับปรุงออฟฟิศใหม่ บรรยากาศการทำงานก็เปลี่ยนไป ผู้บริหารเล่าว่าพนักงานเก่าที่ลาออกได้กลับมาสมัครงานใหม่ เพราะอยากทำงานในสถานที่ที่ดี ซึ่งแสดงให้เห็นว่างานออกแบบสามารถสร้าง Impact ที่ยิ่งใหญ่ต่อองค์กรและประเทศได้

 

ความท้าทายในธุรกิจออกแบบออฟฟิศ

การออกแบบออฟฟิศระดับองค์กร โดยเฉพาะบริษัทข้ามชาติ มักจะต้องผ่านกระบวนการ “แข่งกัน 3 -5บริษัท” เสมอ เพื่อให้การจัดซื้อโปร่งใส และผ่านการตรวจสอบ (Audit) แม้ลูกค้าจะชื่นชอบเป็นพิเศษ แต่ก็ไม่มีหลักประกัน 100% ว่าจะได้งาน กระบวนการออกแบบกว่าจะได้ Final Layout อาจใช้เวลา 2-6 เดือน สำหรับ Google ใช้เวลาถึง 6 เดือน เพื่อให้ทีม IT, AV, Kitchen และ Compliance อนุมัติร่วมกัน

 

คำแนะนำสำหรับดีไซเนอร์รุ่นใหม่

อายุการใช้งานของออฟฟิศทั่วไปอยู่ที่ประมาณ 10 ปี โดยที่สิงคโปร์มีการรีโนเวททุก 3 ปี ส่วนบริษัทข้ามชาติในไทยอยู่ระหว่าง 5-10 ปี สำหรับดีไซเนอร์รุ่นใหม่ พี่อุ้มแนะนำให้ “หาตัวเองให้เจอ” และ “หาจุดขายที่แตกต่างจากคนอื่น” เพราะการทำได้ดีเหมือนคนอื่นนั้นไม่เพียงพออีกต่อไป การมีความไม่เหมือนคนอื่นที่มีแพชชั่นและถนัดอย่างแท้จริง จะทำให้ลูกค้าจดจำและเลือกเราได้ โมเมนต์ที่น่าภาคภูมิใจที่สุดในชีวิตการทำงานของเขาคือการได้พาลูกค้าเดินชมออฟฟิศที่สร้างเสร็จแล้ว และเห็นปฏิกิริยาของพวกเขา

 

ปรัชญาชีวิตและการทำงาน: พี่อุ้มมองว่า เขาไม่ได้เลือกเส้นทางของตัวเอง แต่สิ่งต่างๆ เข้ามาในชีวิตและเขาก็พยายามทำให้ดีที่สุดด้วยทรัพยากรที่มีอยู่ และยังคงสนุกกับการพาลูกค้าและทีมงานเดินชมผลงานที่สำเร็จ

Share on

Writer

H.O.W. Fellow

Most Popular