พีรณัฎฐ์ ทูลแสงงาม หรือที่พวกเราเรียกกันว่า ‘พี่บี’ คือ CEO และผู้ก่อตั้ง Muze Innovation บริษัทที่ให้บริการด้าน Tech Partner ให้กับแบรนด์น้อยใหญ่มานานกว่า 14 ปี
Muze เกิดขึ้นในยุคที่เทคโนโลยีกำลังบูม บริษัทต่างๆ อยากลงทุนกับระบบในออฟฟิศของตัวเองเพื่อให้ตัวเองไม่ตกยุค Muze Innovation จึงขอเป็นเพื่อนคู่คิดและเพื่อนคู่ใจ ใช้ความถนัดด้านเทคโนโลยีของตัวเองไปช่วยวางรากฐาน พัฒนาระบบให้กับแบรนด์ต่างๆ ให้ไฮเทคขึ้น
ฟังเผินๆ อาจดูเหมือน Muze เป็นโปรแกรมเมอร์ที่เขียนโปรแกรมหรือวางระบบตามสั่ง แต่พวกเขาไม่ได้ทำงานด้วยวิธีคิดอย่างนั้น ความน่าสนใจอยู่ตรงนี้ ตรงที่พวกเขารับบรีฟลูกค้า ลงไปคลุกคลีและเรียนรู้ระบบภายในของพวกเขา และวิเคราะห์ว่าอะไรคือสิ่งที่บริษัทนั้นต้องการจริงๆ และสามารถใช้เทคโนโลยีมาช่วยได้ ซึ่งบางครั้งไม่ได้เป็นสิ่งที่ลูกค้าบรีฟมาตั้งแต่แรก ทว่ากลับแก้ปัญหาให้แบรนด์ได้อย่างตรงจุด บางทีก็ช่วยปั๊มยอดขายขึ้นมาหลายร้อยเปอร์เซ็นต์
Wisdom ตอนนี้ เราจึงอยากชวนไปพูดคุยกับพี่บี หนึ่งในสมาชิกของ H.O.W. ถึงเส้นทางธุรกิจ และเคล็ดลับสำคัญในการเป็นแบรนด์เทคที่ลูกค้ารักและยังทำงานกันมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน
ไอโฟนเปลี่ยนโลก
เพราะเติบโตกับคุณพ่อที่เป็นวิศวกร ตั้งแต่เด็กเขาจึงคลุกคลีกับการประดิษฐ์และเทคโนโลยี เมื่อเรียนจบปริญญาโทด้านเทคโนโลยีภาพ (Digital Signal Processing) พี่บีจึงเริ่มก่อตั้งธุรกิจเขียนโปรแกรมอ่านภาพจากกล้อง ชายหนุ่มออกปากว่า 10 ปีแรกของเขาเป็นสิบปีแห่งการลองผิดลองถูก ในยุคนั้นลูกค้าไม่ค่อยลงทุนกับเทคโนโลยีจับภาพเท่าไหร่ ธุรกิจทำเงินได้น้อยมาก ถึงอย่างนั้นก็ทำให้เขาได้เรียนรู้ถึงความหมายของคำว่าการทำธุรกิจ
“เราจบ Engineer แต่อยากทำธุรกิจ ซึ่งวิธีคิดแบบวิศวะกับคนทำธุรกิจต่างกัน วิศวกรจะสร้างทุกอย่างจากราก แต่คนทำธุรกิจจะทำสิ่งที่มีประโยชน์กับคนกลุ่มใหญ่ มันเหมือนกับการหาปลา ถ้าเราใช้แนวคิดแบบวิศวกร ตกปลาอะไรยังไม่รู้ แต่เขาจะเน้นสร้างเรือก่อนเลย แต่คนทำธุรกิจจะดูก่อนว่าในทะเลมีปลาอะไรบ้าง ตรงไหนปลาเยอะ แล้วค่อยกลับมาสร้างเครื่องมือ”
ระหว่างนั้น iPhone ได้ถือกำเนิดขึ้น และการมาถึงของมันก็เปลี่ยนวงการเทคโนโลยีไปตลอดกาล โปรแกรมเมอร์หลายคนที่เคยเขียนโปรแกรมสำหรับคอมพิวเตอร์ก็หันมาเขียนแอปพลิเคชันบนมือถือ เพราะสามารถขายให้ลูกค้าได้ทั่วโลก
เขาก็เช่นกัน
สตรีมมิ่งที่มาก่อนกาล
“เราคิดง่ายๆ เลย ประเทศไทยมีคน 70 ล้านคน แต่ทั่วโลกมี 7 พันล้าน ไม่รู้แหละ แอปฯ เราต้องได้สักอันแหละ กลยุทธ์ของเราจึงเป็นการเขียนแอปฯ ออกมาเป็น 20 แอปฯ คิดอะไรออกก็เขียน เช่น ไปเตะบอล ไม่มีคนเป็นโกล เราทำแอปฯ สุ่มหาโกล อะไรแบบนี้”
ในจำนวนหลายสิบแอปฯ นั้น มีแอปฯ หนึ่งที่โดนใจผู้ใช้ คือ Muze Music Player
ยุคนั้น iTune ยังไม่เปิดขายเพลง สตรีมมิ่งยังไม่มี แต่ Youtube สามารถลงเพลงที่ถูกลิขสิทธิ์ และอนุญาตให้ผู้ใช้ดาวน์โหลดเพลงลงเครื่องมาฟังแบบออฟไลน์ได้ Muze จึงใช้ฟังก์ชั่นนี้มาสร้างแอปฯ ฟังเพลงที่รวมเพลงจากยูทูบ รวมถึงเพลงที่ดาวน์โหลดจากที่อื่นๆ มาไว้ในที่เดียว ภายใต้อินเตอร์เฟซที่สวยงาม น่าใช้
โชคดีที่มีบล็อกเกอร์ดังชาวฝรั่งเศสคนหนึ่งรีวิว Muze ในเว็บไซต์ของพวกเขา ส่งผลให้มีคนดาวน์โหลดแอปฯ หลักล้านในปี 2014 ผลงานนี้ประสบความสำเร็จมากจนสามารถทำเงินจากมันได้ และสุดท้าย ชายหนุ่มต้องนำชื่อแอปฯ มาตั้งชื่อบริษัทของเขาในที่สุด
“Muze Music Player ทำให้ได้เรียนรู้ว่าโอกาสเป็นสิ่งสำคัญ แต่ถ้าของคุณไม่ดี ยังไงก็ไม่โดน เราต้องทำให้โปรดักต์ที่เราทำอยู่มันดี นี่คือจุดสำคัญของธุรกิจที่คุณควรโฟกัส”
“เรื่องที่สอง โปรดักต์ของเราต้องแก้ Pain Point ให้กับคนกลุ่มใหญ่ได้ ถ้าของคุณดีขนาดไหน แต่ถ้า Pain Point ไม่ใหญ่ ก็อาจจะมีคนใช้แค่สิบคน อย่างที่สามคือ มันไม่มีอะไรง่าย ธุรกิจคือการลอง เรียนรู้ และไม่หยุดทำ”
ระบบใหม่ต้องคิดแบบใหม่
“เราได้เงินจากแอปฯ นี้พอสมควร แต่มันก็ไม่ใช่สิ่งที่ยั่งยืน เพราะสุดท้ายแล้วพอสตรีมมิ่งเข้ามา คนก็กระโดดไปตลาดนั้น” ชายหนุ่มเล่าถึงจุดเปลี่ยน “สุดท้ายถ้าเราไปแข่งกับสตรีมมิ่ง เราแพ้แน่นอน เราเลยตัดสินใจขาย Music Player ให้กับรายใหญ่ที่มีลิขสิทธิ์เพลงอยู่ในมือ”
ตอนที่ตัดสินใจขาย พี่บีก็คิดถึงสิ่งที่จะทำต่อ ซึ่งราวปี 2016 เป็นยุคที่องค์กรใหญ่ๆ หลายแห่งหันมาลงทุนกับเทคโนโลยีในบริษัทของตัวเองกันให้พรึ่บ เพราะมองว่าเทคโนโลยีคืออนาคต เขามองว่าเป็นยุคที่ทุกคน ‘กลัวตกรถไฟ’ มากที่สุด โอกาสในการทำระบบ และวางโครงสร้างเทคโนโลยีให้กับบริษัทที่พร้อมลงทุนจึงมีมากมาย และนั่นคือโมเดลใหม่ที่ Muze ใช้มาจนถึงทุกวันนี้
Muze เข้าไปสร้างระบบให้กับบริษัทต่างๆ ในหลากหลายอุตสาหกรรม ไล่ตั้งแต่แวดวงรีเทล โรงแรม ประกันภัย สถาปัตย์ ไปจนถึงวงการบันเทิง โดยพวกเขาเริ่มจากการเข้าไปทำความรู้จักระบบเดิมของบริษัท วิเคราะห์โจทย์ที่ลูกค้าต้องการว่าใช่สิ่งที่ต้องการจริงๆ หรือเปล่า และคิดระบบที่จะสร้างผลประโยชน์ให้กับลูกค้าได้อย่างตรงจุด และแตกต่าง
ยกตัวอย่างก่อนหน้านี้ ช่อง 3 เคยทำสตรีมมิ่งของตัวเอง แต่ในยุคที่สตรีมมิ่งทุกแบรนด์แข่งกันด้วยคอนเทนต์ Muze วิเคราะห์ว่าจุดแข็งของช่อง 3 คือดารา พวกเขาจึงทำสตรีมมิ่งที่ไม่ได้จูงใจลูกค้าด้วยคอนเทนต์ แต่จูงใจด้วยดาราของช่อง
หากผู้ใช้สมัครสมาชิกเข้ามาในแอพฯ เพื่อจ่ายรายเดือน พวกเขาจะมีสิทธิลุ้นเล่นเกม Lucky Draw เพื่อกินข้าวกับดาราทางออนไลน์ หรือมีระบบสุ่ม Meet & Greet กับดาราคนโปรด คอนเทนต์บนแพลตฟอร์มก็มีสิ่งที่พิเศษกว่าคอนเทนต์ที่ฉายบนทีวีปกติ ด้วยกลยุทธ์นี้บวกกับการขายคอนเทนต์ให้กับแพลตฟอร์มอื่นๆ ช่อง 3 สามารถทำเงินหลักร้อยล้านต่อปี
ขอเป็นกองหลัง
ความเก่งกาจของ Muze ไม่ได้อยู่ที่การพัฒนาระบบหรือเขียนโปรแกรมเท่านั้น แต่คือการวิเคราะห์ Pain Point ที่ลูกค้ามี
“หลักคิดของเราคือ เราไม่ได้เป็นนักชกในสนามนั้นแต่ไปเป็นโค้ชให้ลูกค้า เราแค่ต้องเข้าไปหาความรู้เกี่ยวกับวงการของเขา วิเคราะห์จากมุมของคนนอก และคิดว่าตรงไหนคือ Pain Point ที่ใหญ่ที่สุดที่หากแก้ไขให้เขาแล้ว มันจะเกิดคุณค่าบางอย่าง และเราจะดีไซน์โปรดักต์นั้นได้จริงๆ ไหม”
“การสร้างเทคโนโลยีในบริษัทเหมือนการตัดสูท ถ้าคุณอยากทำให้เก่งกว่าคนอื่น คุณไปซื้อสูทเขามาใส่มันก็เหมือนคนอื่น คุณอาจจะต้องตัดเพื่อทำให้คุณหล่อกว่าเดิม” ชายหนุ่มเปรียบเปรย
จนถึงวันนี้ก็ 14 ปีแล้วที่ Muze เป็นพาร์ตเนอร์ด้านเทคโนโลยีให้กับบริษัทหลายแห่ง ชายหนุ่มมองว่า นี่คือยุคที่ทุกคนควรรู้รอบด้าน แต่ควรจะมีสิ่งที่ตัวเองเก่งสักหนึ่งอย่าง และช่วยกันขับเคลื่อนองค์กรไปด้วยกันด้วยสกิลนั้นที่ตัวเองเชี่ยวชาญ
“ทุกวันนี้โลกมันไปเร็วมาก มันเหมือนเราตั้งทีมฟุตบอลที่ต้องมีทั้งกองกลาง กองหลัง กองหน้าที่ดี ดังนั้น Tech Partner ก็เหมือนตำแหน่งหนึ่งในธุรกิจที่ผมทำได้ดี อาจจะเป็นกองหลังที่คุณไว้ใจได้ ส่วนคุณทำเต็มที่กับการเป็นกองกลางหรือกองหน้าเถอะ สำหรับเรา ยุคต่อไปคือยุคที่ต่างคนต่างทำบทบาทของตัวเอง และเชี่ยวชาญในมันให้ได้มากที่สุด”
Learn the Hard Way
สำหรับผู้ประกอบการหลายคน ธุรกิจและชีวิตคือสิ่งที่แยกขาดออกจากกันไม่ได้ชัดเจน และบางเวลา ธุรกิจก็สอนบทเรียนล้ำค่าให้กับชีวิตเช่นกัน มีหลายวันที่ Muze ต้องประสบกับปัญหาและความล้มเหลวอยู่บ้าง แต่ชายหนุ่มเจ้าของแบรนด์ก็ยังอยากเดินต่อ
“ย้อนกลับไป เราเคยคิดว่าความสำเร็จคือการบรรลุเป้าหมายที่เราตั้งไว้ชัดเจน เช่น ถ้าจะแต่งงานฉันต้องมีเงิน 300 ล้าน จนวันหนึ่งตอนอายุ 30 กว่าๆ วันที่เราทำ Muze มาได้สิบกว่าปี เรานอนตื่นมาแล้วเปลี่ยนความคิดว่า จริงๆ เราก็พร้อมแล้ว มันไม่ใช่เงินหรอกที่สำคัญ แต่สิ่งสำคัญคือเราพร้อมที่จะแก้ปัญหาที่จะเข้าในชีวิตเรา และคนที่เราดูแลแล้วหรือยัง การไม่มีเงินก็เป็นแค่อีกหนึ่งปัญหา จากประสบการณ์ 10 กว่าปีที่เราเรียนรู้มา มันทำให้เราเติบโตไปถึงจุดที่ว่าไม่ว่าเป็นปัญหาอะไร ฉันจะแก้มันให้ได้”
อาจารย์ที่เรานับถือเคยกล่าวไว้ว่า ชีวิตคนเราไม่เท่ากัน คนเราจะชอบคิดว่า Hard Way (การทำเรื่องยาก) เป็นสิ่งที่ไม่ดี แต่คำว่ายากกับคำว่าไม่ดีเป็นคนละคำกัน ถ้าเราทำเรื่องยากได้ เราจะเก่งขึ้น พอถึงจุดจุดหนึ่ง เราจะเห็นว่าทุกปัญหา ทุกเรื่องยาก เราก็ผ่านมาได้นี่หว่า ตอนนี้มันก็แค่เป็นเรื่องยากอีกเรื่องหนึ่งที่เรายังไม่เคยผ่านเท่านั้น
คำสอนนี้คือสิ่งที่เขานึกถึงเสมอ ไม่ว่าจะเจอเรื่องยากในการทำธุรกิจหรือในชีวิต
“พอเดินทางมาถึงจุดหนึ่ง เรามองไปรอบๆ ตัว เราจะเห็นว่าปัญหามันไม่เคยหมดไปเลย 95 เปอร์เซ็นต์ ของชีวิตมันคือการเดินทาง อีก 5 เปอร์เซ็นต์ คือการบรรลุเป้าหมาย ถ้ารอให้เราสำเร็จแล้วถึงจะมีความสุขได้ เราจะได้มีความสุขเมื่อไหร่ เราเลยอยากเอนจอยทุกโมเมนต์ในการเดินทางนี้ดีกว่า”