ผมได้มีโอกาสฟังศาสตราจารย์พิเศษ กิติพงษ์ อุรพีพัฒนพงศ์ นักกฏหมายมือวางอันดับต้นของประเทศและประธานตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยมาเล่าถึงเรื่องการจัดการ Family business ที่ HOW Club อาจารย์กิติพงศ์เป็นผู้ใหญ่ในระดับประเทศที่ไม่ใช่มีแค่ความรู้ความสามารถ แต่เป็นคนที่มีเมตตา มีความปรารถนาดีต่อผู้อื่นจนเป็นที่เลื่องลือ ผมเองก็ได้รับความเมตตาและความเอ็นดูจากอาจารย์อยู่หลายครั้ง
อาจารย์กิติพงศ์ หรือที่ใครหลายคนเรียกว่าอาจารยกี๊ด เป็นผู้ที่สนใจศึกษาและรู้ลึกรู้จริงในเรื่อง Family business มากๆ และทุ่มเทความพยายามในการสร้าง Ecosystem ให้ความรู้กับธุรกิจครอบครัวของไทยมาหลายปี เพราะอาจารย์เชื่อว่าถ้าธุรกิจครอบครัวไทยแข็งแรง ประเทศก็จะมีรากฐานที่ดีในการเติบโตต่อไป อาจารย์สอนหลักการที่จะทำให้ธุรกิจครอบครัวยั่งยืนได้อย่างเข้าใจง่ายและได้ความรู้กลับบ้านไปกันทุกคน
แต่ที่ผมสะกิดใจ ไม่ใช่เรื่องความรู้แต่เป็นเรื่องท้ายๆ ที่อาจารย์สอนแนวคิดการทำ “พินัยกรรมชีวิต” ที่อาจารย์ใช้ความรู้ทางกฏหมายประกอบกับการตกผลึกในชีวิตมาออกแบบวิธีคิดและวิธีทำให้มากกว่า
ไม่ประมาทในชีวิต
อาจารย์เตือนสติถึงความไม่ประมาทในชีวิต ไม่ว่าเราจะอยู่ในวัยไหนก็ตามเพราะเหตุการณ์ไม่คาดฝันนั้นเกิดขึ้นได้เสมอ การทำพินัยกรรมเพื่อทำให้คนที่ยังอยู่ไม่ทะเลาะกันและทำให้ธุรกิจยังดำเนินต่อได้อย่างมั่นคงจึงเป็นเรื่องจำเป็นที่ต้องทำทันที แต่พินัยกรรมชีวิตหรือ Living will เป็นแนวคิดที่ต่างออกไปจากพินัยกรรมปกติอยู่พอสมควร
พินัยกรรมชีวิต คือ การเตรียมตัวตายอย่างมีคุณภาพ เป็นส่วนหนึ่งของมรณานุสติที่เราควรจะระลึกถึงความตายที่เป็นเรื่องธรรมชาติไว้เสมอ ไม่ได้เป็นการแช่งใดๆ โดยเฉพาะผู้ที่เริ่มสูงวัย การ “ตายดี” นั้นนอกจากการที่เราได้ “ตาย” โดยที่ไม่เจ็บ ไม่ทรมานตามอายุขัยแล้ว การที่เราทำเป็นหนังสือลายลักษณ์อักษรแสดงเจตจำนงเพื่อเลือกวิธีการรักษาในช่วงสุดท้ายของชีวิตก็เป็นเรื่องที่สำคัญที่จะ “ตายดี” ได้อย่างที่เราต้องการ เพราะอาจารย์บอกว่า ในทางกฎหมาย เราทุกคนมีสิทธิ์ที่จะแสดงเจตจำนงว่าในวาระสุดท้ายของชีวิต ซึ่งในตอนนั้นเราอาจจะไม่มีสติสัมปะชัญญะครบถ้วน หรืออยู่ในขั้นที่สื่อสารไม่ได้ เจตจำนงของเราในเรื่องต่างๆ นั้นเป็นอย่างไร ผู้ที่ดูแลเราไม่ว่าจะเป็นลูกหลายหรือแพทย์จะได้เข้าใจและปฏิบัติตามได้โดยง่าย
เจตจำนงดังกล่าว รวมถึงว่าจะให้รักษาถึงแค่ไหน จะยอมยื้อชีวิตหรือไม่อยากทรมาน ไม่ขอรับการรักษาพยาบาลที่ไม่จำเป็นในวาระสุดท้าย การจัดการทรัพย์สินส่วนตัวว่าจะบริจาคสาธารณะแบบไหน การจัดงานศพว่าอยากให้จัดลักษณะใด และมีงานอะไรคั่งค้างที่ต้องดำเนินการแทนบ้าง
การเตรียมตัวไว้แบบนี้ก็จะทำให้พอถึงเวลาที่เราสื่อสารไม่ได้ ก็จะมีคนเข้าใจและรับปฏิบัติตามที่เราออกแบบไว้อย่างรอบคอบและไม่เป็นภาระแก่ลูกหลานหลังจากนั้น…..
ซ้อมตายเพื่อรู้ว่า “ถ้าตาย” ควรตายอย่างไร
อาจารย์กี๊ดสนใจด้านมรณานุสติอย่างจริงจังก็เพราะเหตุที่ภรรยาของอาจารย์เป็นมะเร็งเมื่อสิบกว่าปีก่อน ในช่วงที่อาการทรุดหนัก อาจารย์ได้ไปเรียนปฏิบัติมรณานุสติกับพระอาจารย์ไพศาลและคุณหญิงจำนงศรี หาญเจนลักษณ์ ไปซ้อมการตาย ทำให้ตระหนักรู้ว่าถ้าจะตายควรตายอย่างไร
อาจารย์ดูแลภรรยาอย่างดี พาไปทุกที่ที่ยังพอไปได้และได้ทำพินัยกรรมชีวิตไว้ตามเจตจำนงภรรยาว่าจะไม่ปั๊มท่อและไม่เจาะคอ พอเวลานั้นมาถึง ภรรยาอาจารย์ก็จากไปอย่างสงบ แต่ตอนนั้นก็ยังไม่ได้สื่อสารกับภรรยาชัดเจนในเรื่องอื่นอีกหลายเรื่อง ทำให้อาจารย์รู้สึกเสียดาย งานศพก็วุ่นๆ จนมาพบอีกทีว่าลืมบอกว่าไม่เอาพวงหรีด ทำให้มีพวงหรีดที่แพงและไม่มีประโยชน์ส่งมาจำนวนมาก
พินัยกรรม = ชีวิตที่จากไปอย่างมีเจตจำนง
จากความเสียดายที่ทำไม่สมบูรณ์ในครั้งนั้นและอยากจะเผยแพร่ความรู้เรื่องนี้ต่อในวงกว้างเพื่อประโยชน์ส่วนรวม หลังจากนั้นอาจารย์ก็ไปเป็นประธานกรรมการองค์กรไม่แสวงผลกำไรชีวามิตร โดยมีผู้ร่วมก่อตั้งที่สำคัญคือคุณหญิง จำนงศรี หาญเจนลักษณ์ เพื่อให้ความรู้ผู้คน ทั้งหมอ ญาติผู้ป่วยในเรื่องนี้เพื่อไม่ให้เกิดการสูญเปล่าจากการยื้อชีวิตที่ไม่จำเป็น เสียเงินเสียทองจำนวนมากกับผู้ป่วยที่ไม่รู้สึกตัวอีกแล้ว จนพาทั้งบ้านพังลูกหลานทรุดตามไปด้วย
อาจารย์บอกว่า คนรู้เรื่องพินัยกรรมชีวิตน้อยมากและไม่ค่อยกล้าคุย เพราะคิดว่าเป็นลางไม่ดี แช่งตัวเอง แต่ในที่สุดแล้ว ทุกคนก็ต้องตาย ถ้าเราระลึกถึงความตาย มีมรณานุสติ เป็นเรื่องของธรรมชาติ ไม่ใช่แค่ฝึกตายเท่านั้น การวางแผนเจตจำนงของตัวเองให้ดี และชัดเจนว่าวาระสุดท้ายจะเอาแบบไหน มีภาระอะไรที่คั่งค้างและทำตัวไม่ให้เป็นภาระต่อคนที่อยู่ต่อ ถ้าไม่เข้าใจ ตายไปก็อาจจะสร้างภาระให้กับลูกหลานได้โดยไม่จำเป็นก็เป็นได้
อาจารย์บอกว่า เวลาบรรยายเรื่องพินัยกรรมชีวิต ผู้ฟังก็จะเห็นประโยชน์และอยากทำขึ้นมา แต่ก็จะมีสองเดี๋ยว “รออีกนิด เดี๋ยวก่อนค่อยทำ” กับ “ทำเดี๋ยวนี้เลย” เดี๋ยวก่อนค่อยทำนั้นมีหลายเคสที่เกิดขึ้นเร็วกว่าที่คาดและก็สายเกินไปเสียแล้วที่จะทำ ด้วยสติสัมปะชัญญะหรือการเจ็บป่วยที่เกินสื่อสารได้ ก็เลยชวนให้ทำเดี๋ยวนี้ด้วยความไม่ประมาทและระลึกถึงมรณานุสติกันดีกว่า
เป็นข้อคิดที่ผมได้จากอาจารย์กี๊ดผู้มีความสามารถด้านกฎหมาย มีเมตตาและเข้าใจเรื่องมรณานุสติได้ดีว่า ไม่เฉพาะแค่ยอมรับเรื่องการตายเท่านั้น แต่ต้องคิดถึงเรื่องพินัยกรรมชีวิตเพื่อลดปัญหาต่อเนื่องที่ไม่จำเป็นสำหรับคนที่ยังอยู่
และได้ “ตายดี” สมใจ สมเจตนารมณ์ของตัวเองอีกด้วยครับ….