“สุกี้ตี๋น้อย” แบรนด์พันล้านจาก ที่เริ่มจาก “ร้านหน้าบ้าน”

20 August 2025

Share on

“ไม่มีสูตรอะไรทั้งนั้น แค่มีใจ… แล้วกล้าลงมือ”
10+1 บทเรียนธุรกิจจาก คุณเฟิร์น สุกี้ตี๋น้อย
จากร้านสุกี้หน้าบ้าน สู่ยอดขาย 7,000 ล้านบาท

 

ตอนอายุ 25 คุณเฟิร์น นัทธมน พิศาลกิจวณิช ยังไม่รู้เป้าหมายชีวิต
ไม่มีเงิน
ไม่มีแผนธุรกิจ
ไม่มีพาร์ตเนอร์
ไม่มีแม้แต่ความมั่นใจว่า “ตัวเองเก่งพอหรือเปล่า”

 

แต่มีสิ่งหนึ่ง… คือความรู้สึกว่า “อยากเริ่มอะไรของตัวเองสักที” เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าชอบสุกี้ แค่อยากทำอะไรที่แมสพอจะขยายสาขาได้จริง จากพื้นที่หน้าร้านกาแฟของพ่อที่บางเขน ที่มีคนเช่าออกพอดี เธอลงมือเปิด “ร้านสุกี้เล็กๆ” ที่มีแค่ 10 โต๊ะ ไม่มีลูกค้า ต้องเรียกคนมากินฟรี เปิดราคาบุฟเฟ่ต์ 199 บาทตั้งแต่วันแรก จนทุกวันนี้ สุกี้ตี๋น้อยมี 85 สาขา ทำยอดขายปีล่าสุดกว่า 7,000 ล้านบาท คุณเฟิร์นยังคงลงรายละเอียดเอง เดินดูร้านเอง และพูดคุยกับลูกค้าเสมอๆ และนี่คือ 10+1 บทเรียนธุรกิจจากผู้หญิงธรรมดา ที่ไม่ธรรมดา ที่ผมอยากจะเล่าให้ฟัง

 

1. เริ่มจาก “ศูนย์” ที่มีแค่ใจ

ไม่มีประสบการณ์ ไม่มีสูตรสำเร็จ มีแต่ความกล้าและ “พื้นที่ว่าง“ หน้าร้านพ่อ
ไม่ได้ตั้งใจทำร้านอาหาร แต่เลือกสิ่งที่แมสพอจะโต และขยายได้จริง

 

2. ลงมือก่อน เรียนรู้ทีหลัง

วันแรก ๆ ร้านขายไม่ได้ ไม่มีลูกค้า ก็ชวนคนมากินฟรี ไม่มีพนักงาน เสิร์ฟเอง รับโทรศัพท์เอง ตอบอินบ็อกซ์เอง
ไม่มีระบบ โดนโกงจนชิน ก่อนจะค่อยๆ เรียนรู้ และสร้างระบบขึ้นมาทีหลัง

พ่อเคยบอกว่า “ถ้าไล่ทุกคนที่ทำผิดออกหมด… จะไม่มีใครเหลือให้ทำงาน” บางครั้งต้อง “ปิดตาข้างนึง” “โดนโกงก็แบ่งๆ กันบ้าง” เพื่อให้ธุรกิจเดินต่อได้

 

3. ทำเองทุกอย่าง จนเข้าใจถึงราก

ช่วงแรกคุณเฟิร์นซื้อของเอง ไปตลาดปลาตี 1 แล้วไปต่อที่ตลาดไท เลือกผักเอง คุยกับซัพพลายเออร์เอง นั่งแกะผักบุ้ง ผัดกาดและนับทีละใบ เพื่อดูว่าแบบไหนคุ้มค่ากว่ากัน เพราะ “คุณภาพ” ไม่ได้มาเพราะโชค แต่มาจากความเข้าใจลึก

 

4. ความใส่ใจเล็ก ๆ สร้างแบรนด์ใหญ่

ในยุคที่ร้านบุฟเฟ่ต์ให้ลูกค้าตักเอง เธอกลับเลือกบริการเต็มรูปแบบ เสิร์ฟถึงโต๊ะ ของสดคุณดี ติดแอร์เย็น มีที่จอดรถสะดวก
ตอนเปิดสาขาสอง เธอเลือกทำร้านในไนท์คลับเก่าที่เลียบด่วน เพราะชอบเพดานสูง ห้องน้ำหรู และรู้ว่ามัน “ไม่เหมือนใคร”

 

5. ไม่รู้…ก็แค่ลงมือทำ

ใครๆ ก็บอกว่า “ขายชีสในบุฟเฟ่ต์ 199 มันไม่คุ้ม” แต่คุณเฟิร์นให้ไปเลย ไม่แยกคิด ไม่หวง ไม่กลัว
เพราะลูกค้าไม่ได้ต้องการถูกที่สุด แต่อยากได้ “ความคุ้มค่าที่สุด” ค่อยๆ เรียนรู้หลังจากการทำว่าคุ้มหรือเปล่า
“ตอนนี้มีข้อมูลเต็มไปหมด ก่อนจะทำอะไรก็ไปถามเขาแต่มันก็ทำให้เรา move ช้าลง“ เธอกล่าวย้ำ

 

6. ปิดรูรั่วทีละจุด จนกลายเป็นระบบ

จากไม่รู้ ไม่มีอะไรเลย กะๆ ลุยไปก่อนจนวันนี้มีครัวกลาง, QA, Mystery Shopper, Third-party food safety ตรวจสาขาหลายครั้งต่อเดือน ทุกปัญหาคือข้อมูล ถ้าแก้ให้ดี มันจะกลายเป็นข้อได้เปรียบทางธุรกิจ

 

7. ไม่ใช่ ‘ผู้บริหาร’ แต่คือ ‘ทีมงาน’

คุณเฟิร์นไม่ชอบคำว่าผู้บริหาร เพราะรู้ว่าคนทำร้านต้องลุยเหมือนกัน
JD ของพนักงานไม่ใช่แค่เสิร์ฟอาหาร แต่รวมถึงทุกอย่างในร้าน ใน JD คงไม่ได้เขียนว่า “ทิชชู่ตกต้องเก็บ” หรือ “ก็อกน้ำไหลต้องปิด” แต่คนที่มีใจรักเขาจะทำทุกอย่างให้ร้านดีขึ้นได้

 

8. Secret Sauce คือความเข้าใจลูกค้า ไม่ใช่สูตรอาหาร

เธอใช้ใจทำงาน ใช้ใจเข้าถึงลูกค้า ใช้ใจนำทีม ไม่ใช่สูตรลับ แต่เป็นความตั้งใจที่ไม่เคยลด เป้าหมายไม่ใช่แค่กำไรพันล้าน แต่คือ “ร้านที่เราพาเพื่อนไปกิน แล้วไม่อาย” และ “การสร้างงานที่ทีมภูมิใจได้ทุกวัน”

 

9. เร็วไป ไม่ได้แปลว่าดีเสมอไป

เคยเปิด 24 สาขาในปีเดียว แล้วเจอปัญหาการเพิ่มงาน เพิ่มคน จนระบบทับซ้อน โจทย์วันนั้นคือขยายให้ไว
ทุกวันนี้จึงกลับมาโฟกัส “กระบวนการ” ให้ระบบน้อยลง สั้นขึ้น ไวขึ้น แต่ยังรักษาคุณภาพเดิม

 

10. ความสำเร็จไม่ใช่จุดจบ แต่คือจุดเริ่มของคำว่า ‘ยั่งยืน’

เตรียมตัวเข้า IPO แบบไม่รีบ หา Strategic Partner แบบที่ “เคารพการตัดสินใจของเรา” ไม่ใช่แค่ได้เงิน แต่ได้คนที่เติมเต็มในสิ่งที่เราไม่ถนัด

 

 

COVID คือบททดสอบความใจใหญ่

คุณเฟิร์นเล่าว่า ตอนโควิดล็อกดาวน์แบบสายฟ้าแลบ เรามีเวลาไม่ถึง 24 ชั่วโมงให้ขนของจากสาขาทั้งหมดมากองไว้ตรงกลาง เพราะตอนนั้นยังไม่มีระบบดูสต็อก ไม่มี ERP ไม่มี POS ไม่มีแม้แต่การแยกประเภทของสดของแช่แข็งที่เป็นระบบ…ของสดบางส่วนก็แจกให้พนักงาน บางส่วนก็แจกฟรีให้ลูกค้า เพราะเชื่อว่าอย่างน้อยมันยังมีประโยชน์ ถ้าทิ้งไปเฉยๆ มันจะสูญเปล่าหมด

 

ตอนนั้นตี๋น้อยยังไม่มีบริการเดลิเวอรี่เลยด้วยซ้ำ รู้แค่ว่า “ต้องมีงานให้พนักงานทำ” เธอเลยเริ่มจากสิ่งที่ทำได้ ลวกหมี่หยก ลวกหมู ขายแค่ 29 บาท ไม่ได้หวังกำไร แค่ขอให้คนในทีมยังมีงานให้ทำ คนต่อแถวยาวอย่างไม่น่าเชื่อ บางคนทักมาว่า “ทำไมไม่ขายสุกี้ตี๋น้อยเลยล่ะ?” คำถามนั้นกลายเป็นแรงบันดาลใจ เธอเลยออกชุด 199 แบบง่ายๆ ให้คนเลือกเติมเมนูเองได้ เหมือนซื้อวัตถุดิบจากซูเปอร์ฯ แล้วเอาไปทำที่บ้าน

 

สิ่งที่เปลี่ยนไปอย่างไม่คาดฝัน คืออินบ็อกซ์ที่เธออ่านเองทุกข้อความ ตอบเองทุกเมนต์ และได้ insight มากมายจนเข้าใจหัวใจลูกค้าลึกขึ้นกว่าเดิม คุณเฟิร์นพยายามสอนแอดมินเสมอว่า “ถ้าลูกค้าบ่น แปลว่าเขายังให้โอกาสเราอยู่ ถ้าเงียบไป แปลว่าเขาบ๊ายบายไปแล้ว”

 

 

+1. บวกหนึ่ง “นิดนึง” ที่เพิ่มขึ้นทุกวัน

เธอเริ่มจากสมุดจด ไม่มีระบบ ไม่รู้ว่าขายแล้วเหลือเท่าไหร่ แค่ดูว่า “บรรทัดสุดท้ายยังเหลือเงิน”
วันนี้เธอยังใช้แนวคิด “นิดนึง” กับทุกอย่าง ค่อยๆ ปรับปรุง พัฒนาทีละนิด บวกไปทีละหนึ่ง ไม่ต้องเฟอร์เฟ็กต์ แต่ดีขึ้นทุกวัน

 

น้ำจิ้มที่เป็นหัวใจของสุกี้ตี๋น้อย เริ่มจาก “เตาหลังร้าน” ที่คุณเฟิร์นกับพี่หมวย (พนักงานคนแรก) นั่งปอกกระเทียม สับมะนาว กวนในหม้อ ทำด้วยกันทุกเช้า วันนี้กลายเป็นเครื่องจักรผลิตน้ำจิ้มวันละ 8 ตัน! แต่ทีมเดิมยังอยู่

 

ด้วยราคา หนึ่ง-ร้อย-เก้า-สิบ-เก้า (199.-) จะ ร้อยก้าว หรือ สิบก้าว จะ ‘กี่เก้าที่ล้ม’ หรือ ‘กี่ครั้งที่เหนื่อย‘ แต่วันนี้ ผมรู้แล้วว่า ‘ทุกก้าว’ ที่เธอเดิน คือก้าวที่เธอ ‘ทำสุดหัวใจ’ และนี่คือเรื่องราวของความตั้งใจ ของคนธรรมดา ที่สร้างแบรนด์เล็กให้โตอย่างพิเศษ ด้วยใจรัก ใช้ใจนำทาง และใจทำงาน

 

จากหนึ่งจานสุกี้ที่เสิร์ฟเองหน้าร้าน กลายเป็นใกล้ ‘หมื่นล้าน‘ ที่มีหัวใจเดียวกัน ราคาหลักร้อย แต่มี “คุณค่าหลักล้าน” ในทุกคำ ของธุรกิจ ‘ตี๋น้อย แต่ใจใหญ่’

#สุกี้ตี๋น้อย #WisdomOfHow

Share on

Most Popular