ทริค “การบริหารนอกตำรา” by คุณหมอโล่ย CEO โรงพยาบาลสมิติเวช นี้ มีวิธีการเปรียบเทียบที่ลึกซึ้ง คมคาย อยากให้ทุกคนได้อ่าน
1. บริษัทที่ประสบความสำเร็จ จะไม่ยึดติด Direction เพราะ Direction ขึ้นอยู่กับ “สถานการณ์” และเมื่อ “สถานการณ์” เปลี่ยน Strategy ก็จะต้องปรับ
2. “อย่าคิดแค่หยิบเงินบนโต๊ะ แต่ให้คิดถึงการหยิบเงินบนฟ้า” เงินบนโต๊ะ คือ รายได้จาก Business model เดิมๆ ซึ่งอีกไม่นานยอดขายจะตก แต่ “เงินบนฟ้า” คือ ที่มาของรายได้ในรูปแบบใหม่ๆ เช่น แบบเดิม โรงพยาบาลจะเพิ่มยอดขายด้วยการลงทุนเปิดโรงพยาบาลเพิ่ม แต่ต่างประเทศไม่มีใครลงทุนกันแล้ว เพราะ ลูกค้าไม่อยากเข้าโรงพยาบาล
3. ”องค์กรที่ประสบความสำเร็จ“ คือองค์กรที่ปรับตัวกับสถานการณ์ได้ดึ แต่สำเร็จอย่างเดียวยังไม่เพียงพอ..เราต้องเป็น ”องค์กรที่สร้างคุณค่า” ให้ลูกค้า พนักงาน Partner และ สังคม เพื่อให้กลายเป็น “องค์กรที่ Never Die” (สำเร็จอย่างเดียวไม่ได้ ต้องสร้างคุณค่า)
4. ”ถ้าภายในปรับไม่ทันภายนอก คือ หายนะ“ จะ Transform องค์กรได้ ให้ Trasform คนในองค์กรก่อนเสมอ.. โดยเริ่มปรับจากทีมผู้บริหารก่อน อย่าเป็นผู้บริหารที่เรียนรู้ข้างนอกเต็มไปหมดเลย แต่ข้างในเหมือนเดิม แบบนี้องค์กรจะไปไม่รอด
5. จะเป็นผู้นำที่ประสบความสำเร็จ ต้อง “เปิดสวิตช์ 3 ป.” คือ ปลุกตัวเอง, ปรับโครงสร้าง, เปลี่ยนกลยุทธ์ให้เข้ากับสถานการณ์
6. ”ผู้นำที่ปรับตัวเองต้องเป็น มังกร 3 หัว“ ผู้นำต้องรู้สถานการณ์ ว่าช่วงไหนควรบริหารแบบ ยึดอำนาจ (เช่น ตอนวิกฤติ), ช่วงไหนบริหารแบบกระจายอำนาจ, ช่วงไหน บริหารแบบ Balance
7. ”ช่วงวิกฤติ ผู้นำต้องฝึกวิชาตัวเบา“ เช่น การลด Cost เริ่มแรกให้ Focus สิ่งที่ควบคุมได้ จากนั้น หาให้เจอว่า “ในสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ จะมีอะไรที่ควบคุมได้บ้าง” ถ้าหาเจอ เราจะกลายเป็นผู้นำที่ ”ควบคุม สิ่งที่หลายคนควบคุมไม่ได้“
8. “นักวิชาการ, ผู้บริหาร, เจ้าของกิจการ, และ นักปกครอง“
- นักวิชาการ คือ เก่งเฉพาะทาง แต่ไม่เก่งบริหาร
- ผู้บริหาร คือ คนที่มองภาพกว้าง เชื่อมโยงเป็น ไว้บริหารทีมงานหรือองค์กร
- เจ้าของกิจการ คือ คนที่มี Passion ให้องค์กรสำเร็จ รวมถึงเป็นคนที่กลัวเจ๊ง
- นักปกครอง คือ คนที่บริหารคนเก่ง บริหารคนชั่วเป็น เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ หรือ เกิดคุณค่า
9. “Now Customer, New Customers, Next Customer“ มีความต้องการแตกต่างกันให้ออกแบบ Customer Experience ให้ครบ 3 กลุ่ม ด้วยวิธีการใหม่ๆ เราถึงสามารถเพิ่ม Customer Life Time Value ได้
10. ผู้บริหาร 80% ต้องทำงานในอนาคต และต้องเท่าทันโอกาสจะเท่าทันได้ เราต้องไวเพียงพอ โดยมี 2 องค์ประกอบคือ ความพร้อมในการฉวยโอกาส และ ความสามารถในการคาดเดาอนาคต (วิชาฉวยเดา)
11. ต้องเร่งสร้างอนาคต เพื่อทำลายปัจจุบัน บางสิ่งใช่ในปัจจุบันอาจจะไม่ใช่ในอนาคต และ การอยู่ใกล้ลูกค้ามากที่สุดยังไม่เพียงพอ แต่ต้องสร้าง Customer Trust ด้วย…ถึงจะชนะ
12. นอกจากจะต้องปรับตัวเก่งแล้ว ผู้บริหารที่เก่งกาจ (มังกร 9 หัว) จะต้อง รุกเป็น, รับเป็น, ต่อยอดเป็น, ต้องเท่าทัน, ต้องสร้างของใหม่สำหรับอนาคตเป็น
13. จะเป็นผู้บริหารมังกร 9 หัวได้ จะต้องผ่านประสบการณ์เหล่านี้มาก่อน คือ การ Maintain บริษัท, Scale บริษัทให้โต 10 เท่า, การทำ Synergy, การซื้อขายกิจการ, การสร้างธุรกิจใหม่, การ Turnaround บริษัทที่เกือบจะล้มละลาย
14. ถ้าจะชนะด้วยกำลังคนหรือกำลังเงิน ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา แต่ถ้าองค์กรชนะด้วยปัญญา และความดี ถือเป็นการชนะแบบยิ่งใหญ่
15. เรื่องพื้นฐานที่จะเป็น Growth Leader จะต้องพัฒนา 3 สิ่ง คือ Mindset, Skillset และ Tool Set
16. Mindset สิ่งแรกทึ่ต้องมีคือ “สำเร็จแปลว่าไม่สำเร็จ” เพราะ เราต้องหาความสำเร็จอันถัดไป ส่วน “ไม่สำเร็จแปลว่าสำเร็จ“ เพราะถ้าเราสู้ เรียนรู้ต่อเราก็จะสำเร็จ
17. จะเปลี่ยน Mindset ผู้บริหารได้จะต้องทำให้เขา ”ขาเปียกน้ำ“ หมายถึงต้องทำให้เขา ลงหน้างาน ลงมือทำ ถึงจะสร้าง ”หลักคิด“ ให้ตัวเอง ซึ่งนำไปสู่ ”หลักปฏิบัติ“ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือให้อยู่ภายใต้หลักธรรม
18. วิธีการสื่อสารให้คนในองค์กรเปลี่ยน Mindset ให้เริ่มจาก สื่อสารเหตุผลให้เขาเข้าใจ เมื่อเขาเข้าใจแล้วให้เราซัพพอร์ตเขา จะเกิดความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน จากนั้นทำให้เขาสำเร็จเขาจะเกิด Trust กับเรา และเมื่อมี Trust แล้ว เวลาสื่อสาร Direction ให้เริ่มจากว่า ตัวเขาจะได้อะไรก่อน แล้วค่อยเชื่อมโยงว่า องค์กรจะได้อะไร
19. Mindset ”เชือกเส้นเดียว“ : หมายถึงผู้บริหารควรจะโฟกัสทำหนึ่งอย่างที่ Impact เหมือนการใช้เชือกเส้นเดียวในการจูงสัตว์
20. Mindset ที่ต้องมีสำหรับผู้นำที่ต้องการประสบความสำเร็จในโลกอนาคต คือ ”การทำลายตัวเอง“ (Self Disruption) ก่อนที่คนอื่นจะทำลายเรา
21. ต้องรู้ว่าเมื่อไหร่ควร “เร่ง” เมื่อไหร่ควร“ผ่อน” วิธีคือ “เมื่อคนอื่นเร่ง ให้เราผ่อน – ถ้าคนอื่นผ่อนให้เราเร่ง”
22. “คนอายุเยอะจะเน้นความสุข คนอายุน้อยจะเน้นความสำเร็จ” ความสำเร็จกับความสุขจะต้องไปคู่กัน โดยการแบ่งย่อยความสำเร็จเป็นขั้น แล้วให้เรา Enjoy กับมัน
23. จะฝึกวิชาหยินหยาง ต้องพยายามรวมทุกสิ่งเป็นหนึ่งเดียว เช่น เวลาเรามีความสุขเราต้องหาความทุกข์ เวลาเรามีความทุกข์เราต้องหาความสุข, เวลาเราสำเร็จ เราต้องหาความเสี่ยง, เวลาเราไม่สำเร็จให้มองหาโอกาส
24. ถ้าองค์กรจะไร้พ่าย เราต้องหา “หงส์ขาว และ หงส์ดำ” ให้เจอเสมอ : หงส์ขาวคือ โอกาส ส่วน หงส์ดำคือความเสี่ยง (แต่อย่าไปกลัวหงส์ดำจนไม่กล้าทำอะไร) ต้องพยายาม Balance อยู่เสมอ
25. แต่กลยุทธ์ที่ดีที่สุดคือ “หงส์พิฆาต” คือการ “ผูกขาดตลาด” แต่อาจจะไม่ค่อยยั่งยืน
26. “ท่านเปา กับ ฮ่องเต้” ถ้าเราเป็นผู้บริหารแบบ “ท่านเปา” หมายถึง จะตรงไปตรงมา มีหลักการ ทุกอย่างต้องทำตามระบบ สุดท้ายจะติดกับดัก ส่วนผู้บริหารที่เก่งกาจ จะเป็นเหมือน “ฮ่องเต้” หมายถึง จะเป็นจอมยุทธ์ ไร้กระบวนท่า ปรับตัวกับสถานการณ์เก่ง
27. ถ้าจะชนะจริงๆ ต้องมีวิชา “กระบี่อยู่ที่ใจ” คือ การทำให้ลูกทีมเราฮึกเหิม และเมื่อฮึกเหิมแล้ว เขาจะคิดและลงมือทำ ซึ่งจะมีกระบวนท่าใหม่ๆแบบไร้สิ้นสุด
28. ถ้าจะเป็นฮ่องเต้ ต้องฟังให้เยอะ เพื่อให้มี “หลักคิด“ และ ลงมือทำจริงเพื่อให้มี ”หลักปฏิบัติ“ ภายใต้ “หลักธรรม” แต่สิ่งที่ต้องระวังมากที่สุด คือการโดนเป่าหู ซึ่งส่วนใหญ่มาจาก ”คนใกล้ตัว“ (คนมีอำนาจต้องระวังอย่าถูกหูเปาง่ายๆ )
29. ”ถ้าอยากสำเร็จ อย่าทำตามตำราตะวันตกทั้งหมด“
- เราจะ สำเร็จ 50% ถ้าทำตรงข้ามกับตำรา
- เราจะ สำเร็จ 75% ถ้าเราทำสวนกระแส เช่น รพ.สมิติเวช ตั้งเป้าหมายให้คนไม่ป่วย เพื่อสร้างคุณค่า
- เราจะ สำเร็จ 90% ถ้าเราทำก่อนกระแส เช่น การทำ Telemedicine ในช่วงโควิด ของสมิติเวช ทำให้สร้างคุณค่าได้มหาศาล
- เราจะ สำเร็จ 100% ถ้าเรา ”สร้างกระแส และ สร้างโอกาส“ ได้เอง
30. โอกาสกับคน 4 ประเภท
- ประเภทที่ 1 เมื่อมีโอกาสเข้ามา แต่ไม่รู้ว่านี่คือโอกาส
- ประเภทที่ 2 รู้ว่ามีโอกาสเข้ามา แต่ไม่ได้ทำอะไร
- ประเภทที่ 3 ถ้าโอกาสเข้ามา เขาจะรีบฉวยเลย
- ประเภทที่ 4 ไม่มีโอกาส แต่ก็สามารถสร้างโอกาสได้
31. ”อย่าไปคิดที่จะเปลี่ยนคน แต่ให้วางคนให้เหมาะสมกับลูกค้า“ คือ คนที่ไม่เปลี่ยน ให้ทำสิ่งที่ไม่เปลี่ยน กับกลุ่มลูกค้าที่ไม่เปลี่ยน, คนที่เปลี่ยน ก็ให้เขาทำสิ่งที่เปลี่ยน เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าที่เปลี่ยน
32. การดูแลคนในองค์กร ก็ต้องดูแลต่างกัน อย่าทำแบบข้าราชการ ที่เติบโตเป็นขั้นๆ เหมือนกันทุกคน ให้เราแบ่งคนออกมาว่าใครเป็นประเภท ”บวก, ลบ, คูณ, หาร“ ให้เราลงทุนกับคนที่เป็นตัวคูณอย่างสาสม และให้เราดูแลตัวหารแบบสาหัส
33. การทำ Corporate Trarnsformation สิ่งแรกที่ต้องทำคือ หา “ปลิง” ให้เจอ คือ อะไรที่เป็น Pain point ขององค์กร (ไม่เกิน 3 ข้อ พร้อมเรียงลำดับความสำคัญ) พอจัดการได้ 1 ข้อ ให้ประกาศ Short Term Sucess เพื่อเป็นขวัญกำลังใจ
34. ส่วนที่ 2 คือ หา “เต่า” ให้เจอ ว่าส่วนไหนในองค์กร ล่าช้า ไม่ทันสมัย เปลี่ยนยาก ให้ “ตัด” บางอย่าง, “ต่อ” กับอะไรเข้าไป , ”แต่ง“ ส่วนไหนได้, ควร”เติม“ อะไรเข้าไป เพื่อทำให้ส่วนนั้นเร็วขึ้น
35. จากนั้นให้หา “อินทรี” ในองค์กร ดูว่าใครคือคนที่ ”เก่งคน เก่งคิด เก่งงาน เก่งเงิน“ จะต้องนำไปพัฒนา เพื่อให้เป็น อินทรี ที่เก่งขึ้น
36. หา “กบ” ให้เจอ ดูว่าใครคือ คนที่ปรับตัวได้เก่ง อดทนเก่ง เปลี่ยนสีได้ อยู่ในสภาพแวดล้อมไหนก็ได้ ให้มาทำ “New S Curve”
37. การทำกลยุทธ์ ต้องมียุทธศาสตร์ “หลัก”ก่อน คือ การทำให้องค์กรปรับตัวเร็ว และ สร้างคุณค่าได้ จากนั้น ให้คิดกลยุทธ์ ”ล้อม“ คือ ถ้ากลยุทธ์แรกไม่สำเร็จ ก็ยังมีกลยุทธ์ที่เหลือ เพื่อทำให้ถึงเป้า (แต่ต้องดูที่ทรัพยากรของเราด้วย) สุดท้าย อย่าลืมคิดกลยุทธ์ตั้งรับ ระวังว่าคู่แข่งจะมาฆ่าเราด้วย
ขอบคุณพี่หมอโล่ย และ พี่กระทิง สำหรับ Wisdom นะคร้บ