รายการในตำนานอย่าง Club Friday ที่เป็นที่ปรึกษาความรักและชีวิตให้กับผู้คนมากมาย ยืนระยะรับฟังและเป็นเพื่อนให้กับผู้คนหลากหลายวัยมาทุกอาทิตย์อย่างยาวนาน ผู้ที่ทำรายการแบบนี้ได้ยาวขนาดนี้ นอกจากจะต้องเป็นผู้ที่มีเมตตา เข้าอกเข้าใจถึงหัวจิตหัวใจคน มีหลักคิดที่เป็นประโยชน์ที่พอได้พูด ได้คุย ได้ฟังแล้วก็บรรเทาปัญหาลง ยังต้องเป็นผู้ฟังที่ดีและอดทนอย่างมากๆ ถึงจะทำแบบนี้ได้เกือบยี่สิบปี ..
ผมได้มีโอกาสพูดคุยสัมภาษณ์ดีเจพี่อ้อย นภาพร คู่หูพี่อ้อยพี่ฉอดแห่ง Club Friday ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นกูรูความรักของไทย เป็นการสัมภาษณ์ที่ผู้ฟังในคลาสร้องฮู้ ร้องว้าวอยู่ตลอดเพราะคำตอบของพี่อ้อยในแต่ละเรื่องไม่ใช่คำตอบธรรมดาและเป็นคำคมที่โดนใจและชวนคิดตามทุกประโยค พี่อ้อยเล่าว่าพี่อ้อยชอบในเสน่ห์ของภาษาไทยมาก คำคล้องจอง คำสัมผัสนั้นทำให้ประโยคธรรมดานั้นติดหัวและกระแทกใจคนฟังได้อย่างน่าอัศจรรย์
ผมลองประมวลคำคมของพี่อ้อย ซึ่งสำหรับผมนั้นเป็น Wisdom ที่กลั่นมาจากการรับฟังปัญหาคนเป็นร้อยเป็นพันมาเกือบยี่สิบปี แล้วลองคิดตาม มีหลายประโยคที่โดนใจและทำให้ผมเอามาคิดต่อหรือฉุกคิดได้อยู่มากพอสมควร (คำคมจากพี่อ้อยแต่เนื้อหาต่อจากคำคมเป็นความคิดต่อของผมนะครับ) ..
1. เราต่างคนต่างเป็นพระเอกนางเอกในเรื่องตัวเองเสมอ
คนที่มาเล่าปัญหานั้นไม่มีใครคิดว่าตัวเองเป็นผู้ร้ายในเรื่องนั้นๆ ต่อให้ไปแย่งสามีคนอื่นก็ยังมีเหตุผล อันนี้ฝรั่งก็มีพูดไว้ว่า everyone is hero in their own story ไม่เฉพาะแค่เรื่องความรัก แต่เป็นทุกเรื่องของมนุษย์ คนที่ฉ้อโกงผู้มีพระคุณ คนที่ทำอะไรร้ายๆ เวลาให้เขาเล่าก็จะมีมุมที่เข้าข้างตัวเองว่าทำถูกแล้วเสมอ การรับฟังคนหรือเวลาจะมีเรื่องกับคน จะโมโหคน ก็ต้องเข้าใจหลักการข้อนี้ไว้ก่อน
2. ปัญหาของคนอื่นใช้หัว ปัญหาของตัวใช้ใจ
พี่อ้อยบอกว่า คนเรามักจะเก่งเวลามองปัญหาของคนอื่น เข้าใจตรรกะ แนะนำได้เป็นเรื่องเป็นราว แต่พอเป็นเรื่องของตัวเองมักจะแก้ไม่ได้ ใช้อารมณ์แล้วมองข้ามความเป็นเหตุเป็นผลไปหมด ผมเองก็รู้จักกูรูปรึกษาปัญหาชีวิตคนหนึ่งที่เก่งมากๆ ผู้คนชื่นชม แต่ชีวิตของตัวเองเละเทะ มีปัญหาเรื่องความรักที่แก้ตัวเองไม่ได้เต็มไปหมด
เรื่องคนอื่นเก่งกาจ เรื่องตัวเองตายอนาจทุกที… เป็นเรื่องปกติสำหรับทุกคนเช่นกัน
3. เรื่องเศร้า แค่เล่าก็เบาลง
ผมถามพี่อ้อยว่าคนที่เล่าปัญหาหนักๆ ในรายการ พี่อ้อยช่วยอะไรเขาได้บ้าง เขาถึงชอบโทรมาเล่ากัน เพราะเวลาก็ไม่มาก และรายละเอียดหลายครั้งก็ไม่ครบถ้วน พี่อ้อยก็บอกว่าพี่อ้อยไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาตรงๆ แต่ให้วิธีคิดกลับไปทบทวนมากกว่า และอีกประการหนึ่งก็คือแค่ได้เล่าก็จะดีขึ้นแล้ว
เพราะเรื่องเศร้า… แค่เล่าก็เบาลงละล่ะ
4. เงยหน้าขึ้นมาบ้าง คนรอบข้างจะได้มีตัวตน
ผมถามพี่อ้อยผู้จัดรายการมาเกือบยี่สิบปี บริบทของสังคมก็เปลี่ยนไปมาก ความแตกต่างของยุคสมัยที่สำคัญประการหนึ่งก็คือข้อมูลและการเสพสื่อในโทรศัพท์ ยิ่งเราก้มหน้าเท่าไหร่เราก็จะสูญเสียความสัมพันธ์กับคนข้างๆ มากขึ้นเท่านั้น การเตือนว่าให้เงยหน้าขึ้นบ้างเพื่อได้เห็นคนรอบข้างจึงสำคัญไม่แพ้กัน
ผมเคยทำหนังโฆษณาสมัยอยู่ดีแทคชื่อ disconnect to connect ถ้าไปค้นก็น่าจะยังพอหาดูได้ เป็นคำขยายความของประโยคนี้เลยครับ
5. เวลาเราใส่ใจสิ่งไหน เราจะมีเวลาให้สิ่งนั้นเสมอ
การที่เราไม่มีเวลาให้เรื่องไหน ก็เพราะเราไม่ได้ใส่ใจมากกว่า ไม่ใช่เพราะไม่มีเวลาจริงๆ ถ้าเราอยากแข็งแรง ใส่ใจสุขภาพ เราก็จะมีเวลาให้การออกกำลัง หรือถ้าเราชอบใครมากๆ เวลาของเราก็จะไปอยู่กับการใส่ใจ เฝ้ามองคนๆ นั้นเสมอ
พี่จิก ประภาส ชลศรานนท์ เคยเขียนไว้ว่าเวลาเราชอบใครมากๆ ตัวของเราจะค่อยๆ เล็กลง ตัวของคนที่เราชอบจะใหญ่ขึ้น มองไปทางไหนก็จะเห็นเขาตลอด และเวลาใครมาชอบเรา ตัวเราก็จะใหญ่ขึ้นในสายตาคนๆ นั้นเช่นกัน
6. หลายครั้งเขาไม่ได้อยากได้คำตอบ เขาอยากได้คำปลอบเฉยๆ
ไม่รู้ว่าผู้ชายส่วนใหญ่เป็นแบบนี้รึเปล่า แต่ผู้หญิงชอบบ่นเรื่องนี้เยอะ ผมเองก็เคยโดนบ่นเพราะหลายครั้งภรรยาหรือลูกสาวมาปรึกษา มาบ่นถึงปัญหา ผมก็จะพยายามหา solution หาคำตอบ คาดคั้นเป็นตรรกะ ซึ่งภายหลังเพิ่งเข้าใจว่าหลายครั้งเขาแค่ต้องการให้ปลอบ ให้เข้าข้าง ให้กำลังใจ ไม่ได้ต้องการถกเถียง
กว่าจะเข้าใจเรื่องนี้ก็ทำผิดพลาดมาพอสมควรและก็ยังต้องพยายามสังเกตและฝึกต่อไป
7. คำว่า Heart มีคำว่า Ear อยู่ข้างใน ดังนั้นเรื่องหัวใจต้องตั้งใจฟัง
ผมถามถึงเคล็ดลับหรือหัวใจของการตอบปัญหาใน Club Friday ที่ทั้งหลากหลายและซีเรียส เป็นความทุกข์ที่แสนสาหัสสำหรับใครหลายคน พี่อ้อยบอกว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ “ฟัง” คนที่โทรมาต้องการการรับฟัง ฟังแล้วก็ไม่ได้ให้แนวทางแก้ปัญหาแต่ให้หลักคิดไปมากกว่า
คุณสมบัติในการปรึกษาปัญหาที่สำคัญที่สุดคือการฟังนั่นเอง
8. คนเรามีทั้งคิดเหมือนและคิดต่างเพราะเราใช้มือคนละข้างจูงกัน
ผมถามพี่อ้อยสนุกๆ ว่า ถ้าต้องไปกล่าวงานแต่งงานให้คู่บ่าวสาว ซึ่งเป็นการกล่าวที่ยากมากๆ มีประโยคอะไรที่ผมจะยืมไปใช้ได้บ้าง พี่อ้อยก็ตอบสนุกๆ แต่มีแง่คิดว่า การแต่งงานเหมือนกับเราจูงมือกันไป แต่การจูงมือนั้นต้องเป็นมือคนละข้างถึงจะเดินกันสบาย คนนึงถ้าใช้มือซ้าย อีกคนต้องใช้มือขวา ถ้าใช้มือซ้ายทั้งคู่ก็จะจูงกันไม่ได้ เป็นการเตือนว่าชีวิตคู่มีทั้งความเหมือนความต่างนั่นเอง
ซึ่งทำให้ผมนึกถึงอีกประโยคที่มีคนบอกไว้เหมือนกันว่า ชีวิตคู่เหมือนกับการแลกรองเท้ากันใส่คนละข้าง ถ้าใครใส่สบายทั้งสองเท้า แสดงว่าอีกคนจะลำบากแน่เพราะไม่พอดี มันต้องมีทั้งสบายบ้าง ลำบากบ้างเพราะสองชีวิตไม่เหมือนกัน เป็นการเตือนสติเจ้าบ่าวเจ้าสาวที่อาจจะกำลังอยู่ในช่วงเวลาที่อะไรๆ ก็โรยด้วยกลีบกุหลาบได้เป็นอย่างดี
9. อย่ามัวแต่มองข้างหน้าจนลืมมองคนข้างๆ วันหนึ่งความสำเร็จจะอ้างว้างถ้าไม่มีคนข้างๆ ฉลองด้วย
ผมเพิ่งฟังรายการของเอ๋ นิ้วกลมสัมภาษณ์พี่ตุ้ม หนุ่มเมืองจันท์ เรื่องความสำเร็จ พี่ตุ้มตอบว่าชีวิตเราเหมือนจักรยานสองล้อ ล้อแรกคือความสำเร็จ ล้อที่สองคือความสุข ถ้ามีแต่ความสุขไม่มีความสำเร็จชีวิตมันก็จะแห้งแล้ง แต่ถ้าสำเร็จแต่ไม่มีความสุข ไม่มีคนรอบข้างภูมิใจในความสำเร็จของเรา มันก็ไม่มีความสุข ล้อสองล้อมันจึงเกื้อกูลกัน แต่ช่วงชีวิตที่ผ่านไปเรื่อยๆ น้ำหนักของล้อสองล้ออาจจะไม่เท่ากัน ในวัยพี่ตุ้ม ล้อความสุขจะใหญ่กว่าล้อความสำเร็จ แต่สำหรับน้องๆ ที่เพิ่งทำงานล้อความสำเร็จอาจจะใหญ่กว่าความสุข ต่างกันตามวัย
10. คำคมก็ไม่ช่วยอะไร ถ้าสักแต่โดนใจแต่ไม่ทำ
อ่านมาถึงตรงนี้ คำคมนี้ไม่ต้องอธิบายละล่ะครับ
…..
ที่ผมประทับใจพี่อ้อยมากๆ ไม่ใช่เฉพาะคำคมที่กระแทกใจแล้วทำให้มาคิดต่อ แต่เป็นความเมตตาและความมีน้ำใจของพี่อ้อยที่ได้สัมผัสแค่ในช่วงสั้นๆ ตั้งแต่พี่อ้อยตอบรับมาบรรยายทั้งๆ ที่รู้ว่าเป็นเวลาที่ไม่ง่าย เพราะต่อจากการอัดรายการสดที่ตึกแกรมมี่กับพี่ฉอด พี่อ้อยอัปเดตเป็นระยะว่าใกล้เสร็จแล้ว และซิ่งมอเตอร์ไซด์รับจ้างมาเพื่อให้ทัน มาถึงก็ให้ใจ ให้พลังและโฟกัสกับผู้ฟังจนผู้คนที่ได้ฟังประทับใจมากๆ และขากลับก็ซิ่งมอเตอร์ไซด์กลับเพราะมีงานต่อ
พี่อ้อยให้ใจกับงานเล็กๆ ที่หลายคนอาจจะมองข้าม และก็ทำให้ผมได้รับคำตอบถึงภาพใหญ่ ถึงตำนานแห่งกูรูความรักที่ช่วยผู้คนของพี่อ้อยมาเกือบยี่สิบปีว่า แก่นแท้หรือตัวตนของพี่อ้อยนี่เองที่ทำให้ใครๆ ถึงประทับใจและไว้ใจเล่าเรื่องลึกๆ พร้อมกลับไปแล้วรู้สึกว่าตัวเองยังมีคุณค่า ปัญหาต่างๆ ก็เบาลง
เป็นความเมตตาของพี่อ้อย ที่คอยช่วยน้องๆ เสมอมา
(ผมพยายามจะลองเขียนเป็นคำคมกับเขาบ้างดูนะครับ)