Breakfast with CEO บันทึกจากการฟังตี๋น้อย คุณคมสันต์ ลี Komsan Saelee
1. การทำงานทุกวันไม่ค่อยเหมือนกัน แต่ที่เหมือนกันคือเหนื่อยแน่ๆ ทุกวันนี้บทบาทคือหาเงิน คุยกับผู้ลงทุน หาคน วางแผน หาโอกาส ค้นหาสิ่งใหม่ๆ เติมเต็มในองค์กร
2. ตอนนี้ไม่ค่อยมีโอกาสไปหน้างานเยอะ มี CEO ของแต่ละบริษัทบริหารอยู่ แต่ก็พยายามไปหน้างานเรื่อยๆ เพราะบางทีรายงานเหมือนเป็นข้อมูลที่หน้างานตั้งใจให้ดูมากกว่าสิ่งที่ควรจะรู้ เค้าจะได้ไม่โดนด่า สังเกตจากการที่รายงานเป็นแพทเทิร์นเดิมๆ
3. Work Ethic ของคุณคมสันต์
- ช่วงแรกกางเต็นท์ที่บริษัท ตื่นมาลมหายใจแรกก็บริษัท อาบน้ำ ทำงาน ไม่กลับบ้านเป็นปี จนตั้งต้นได้
“ทำงานหนักคือทำอย่างหนึ่งจนจบ ทำอย่างดีที่สุด” - อย่าขยันแค่เชิงปริมาณ จะทำงาน 9 โมงเช้า – 3 ทุ่ม 7 วัน (996/997) ไม่ได้แปลว่าเราจะสำเร็จมันขึ้นอยู่กับว่าเราทำอะไรด้วย เช่น ไลน์กรุ๊ปเยอะ กดเข้าไปอย่างน้อยอ่าน 5 นาที ถ้ามี 20-30 กลุ่มจะเสียเวลาเยอะขนาดไหน สาระที่แท้จริงแค่อ่านรู้แล้วแต่ทำอะไรได้บ้าง อันนี้เรียกว่าไม่โฟกัส
4. “มันไม่มีทางเลือก เพราะเราเจ๊งไม่ได้” คุยกับ เว่ยเจี๋ย พาร์ทเนอร์ ว่าถ้าบริษัทเจ๊งเป็นหนี้ 3 พันล้าน ต้องทำงานรับเงินเดือนแล้วมาจ่าย ทำงานกี่ชาติถึงจะใช้หนี้หมด
5. นักธุรกิจจีนมาบุกเมืองไทย ต้องเข้าใจ 2 อย่างก่อนคือ ทำไมเขาถึงเป็นแบบนั้นและทำไมเราถึงเป็นแบบนี้
- ทำไมเขาเป็นแบบนั้น มุมมองแบ่งเป็น 2 ข่วง ช่วงแรกคืออดีต จนถึงประธานาธิบดี เติ้งเสี่ยวผิง
- ต้องเข้าใจว่าจีนเป็นระบบกษัตริย์ตั้งแต่อดีต มีทาส ทำสงครามตลอดเวลา ขัดสนชัดเจน ไม่มีความปลอดภัยในตนเอง หาเงินมาได้จะโดนยึดเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ มีโอกาสน้อยมากๆ ที่จะก้าวข้ามชนขั้น เลยต้องหาความปลอดภัยยึดอะไรก็ได้ให้เยอะที่สุดมาเป็นของตัวเอง และจีนใหญ่เกินไปทุกปีมี 10 ล้านคนที่จบมาจากระบบการศึกษาที่อัพเกรดตลอดเวลา ทุกปีแค่ประสิทธิภาพต่างกัน การแข่งขันสูงมากๆ (เป็นวิศวกรซัก 6 ล้าน)
- ตลาดเต็มไปด้วยคู่แข่ง คู่แข่งมากกว่าโอกาส ด้วยปัจจัยเหล่านี้ คนจีนจึงต้องกระตือรือล้น เพื่ออยู่รอด
- ทำไมคนจีนเสียงดัง เพราะไม่ดังไม่มีใครฟังคุณ
- ทำไมชอบแย่งกัน เพราะทรัพยากรมีจำกัด ถ้าคุณไม่แย่ง ถ้าเอาหน้าก็ไม่ต้องกิน (ยุคพ่อแม่)
6. ช่วงสอง จีนคนรุ่นใหม่ International มากขึ้น เปลี่ยนจากธุรกิจจบลงที่โต๊ะกลม เป็นโต๊ะกาแฟ บางทียังไม่ทันสั่งดื่มก็คุยงานจบแล้ว แต่สิ่งที่ไม่เปลี่ยนแน่ๆ คือการแข่งขัน เพราะลึกๆ รู้สึกไม่ปลอดภัยจึงต้องค้นหาสิ่งที่ปลอดภัยกว่า ดังนั้นต่อให้รัฐบาลต่างประเทศออกกฎอะไร เค้าก็มาแน่ๆ นโยบายไม่ใช่กีดกัน แต่ควรเป็น win-win เค้าได้ในสิ่งที่ควรได้ เราได้ในสิ่งที่ควรได้
7. ในอดีตจีนไม่มีเทคโนโลยีอะไรเลย จีนมีแต่แรงงานคน เป็นแหล่งการทำ OEM แต่วันนี้ทำไมมีเทคฯ ชั้นนำทั้ง Huawei, Oppo, Vivo, EV
8. การเติบโตไม่ใช่แค่ R&D แต่การรับ OEM รัฐบาลออกกฎให้ต้องมีคนท้องถื่นมีบทบาทในการทำงาน ให้มีการเรียนรู้จากบริษัทต่างประเทศ จนสามารถสร้างอุตสาหกรรมของจีนเองได้
9. สงครามเศรษฐกิจครั้งนี้ คนไทยต้องเข้าร่วม มีบทบาทและชนะไปด้วยกัน
10. ปัจจุบันทุกบริษัทในจีนแข่งจดสิทธิบัตรเพื่อเป็นผู้นำตลาด
- ในจีนรัฐบาลท้องถิ่นยิ่งใหญ่กว่ากระทรวง ผู้ว่าแต่ละจังหวัดสามารถให้ที่ดินฟรีได้ ให้ภาษาฟรี 7-10 ปี สนับสนุนเงินเดือน นโยบายคล่องตัวมาก
- แต่ละมณฑลแข่งกันสร้าง GDP นักธุรกิจที่จะมาลงทุนไม่ต้องเข้าส่วนกลาง จากเดิมทุกมณฑลแข่งอสังหา แต่ตอนนี้ปรับผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง เช่น หูเป่ย อุตสาหกรรมรถยนต์ / จีนตอนใต้ เฟอร์นิเจอร์ Electronic ต่างๆ
11. “ต้นไม้มันใหญ่เกินทำให้ไม่มีต้นไม้เล็กเติบโตออกมา หากอยู่ใต้ไม่ได้รับแสงก็ตายหมด” ธุรกิจผูกขาด เป็นอะไรที่น่ากลัว เนื่องจากรัฐกังวลว่าไม่มีอะไรสร้างสรรค์
- Alibaba, Tencent, Baidu ใครจะโดนก่อน
- Didi, Binance, Douyin, Meituan, Pinduoduo เป็นแถวสองที่ตามมา
- ดังนั้นรัฐจึงออกกฎข้อแรก ห้ามบีบบังคับให้ผู้ใช้งานเลือกค่ายใดค่ายหนึ่ง เช่น จ่ายด้วย Alipay เท่านั้น หรือ Meituan ถ้าร้านขายบนแอปแล้ว ห้ามไปขายที่อื่น ออก POS ให้ใช้แต่ล็อคระบบให้ใช้ได้เจ้าเดียว
12. “ฟ้าผ่าเร็วเกินไป เมฆลมยังไม่มา” การเปลี่ยนแปลงป้องกันธุรกิจผูกขาดเร็วเกินไป ทุกคนคนเตรียมตัวไม่ทัน ทำให้เทคคอมจีนล้มกันเป็นแถว
13. จีนยังบีบบังคับความเท่าเทียมเชิงเศรษฐกิจ โดยกำหนดให้บริษัทใหญ่ๆ เอาเงิน 6-10% ไปทำให้ชนบทเติบโต จ้างงาน อุดหนุนผักผลไม้ แต่กลายเป็นว่าธุรกิจเล็กๆ อยู่ได้เพราะ Subsidy เท่านั้น ถ้าถอนแล้วจะเจ๊งหนักกว่า “ควรจะสอนคนตกปลา ถ้าให้แต่ปลา พอถอนออกธุรกิจเจ๊งแน่นอน”
14. ธุรกิจที่ฟิลิปปินส์ตอนนี้ ตอนแรกรู้สึกเหมือนกระต่ายขุดแครอท ขุดไปแล้วไม่เจอเสียใจเกือบกลับบ้าน แต่หลังจาก กัดฟันสู้มา 3 ปี ตอนนี้ขุดจนเจอแครอทยักษ์แล้ว
15. มีช่วงที่ท้อจนไม่ไหว โดนกลั่นแกล้งทุกทาง ทั้งเลขา CEO โดนจับเป็นตัวประกัน ไปต่างจังหวัดโดนโจรยึดรถส่งของ โดนยกตู้เซฟจากสาขาไป กีดกันทางการค้าทุกอย่าง
16. แต่เพราะแก้ไขปัญหาทุกจุด เช่น ตู้เซฟหนัก 50 ก็เปลี่ยนเป็น 100 กิโล หนักจนยกไม่ไหว เงินเดือนจากจ่ายทุกสิ้นเดือนก็จ่ายเป็นเดือนละ 2 ครั้ง แสกนหน้าเข้า-ออก วัดเลขไมล์เทียบกับค่าน้ำมัน เจรจากับคู่ค้าต่างๆ ทำทุกวิธีทางเพื่ออุดรอยรั่วและเพื่อให้ทำธุรกิจได้
17. Flash ที่นู่นเลือกที่จะไม่เลือกค่ายไหน ไม่ผูกขาด บริหารทุกคนอย่างเท่าเทียม ในระยะสั้นอาจจะแพ้คู่แข่ง แต่การวาง Position ที่ดีสำคัญมากในระยะยาว คาดว่ากลางปีหน้าจะขึ้นเป็นอันดับ 1 ในตลาด
18. “ผมวัวอ่อนไม่กลัวเสือ” คุณคมสันต์ เริ่มชีวิตการทำงานจากบริษัทเหมือง ศึกษางาน 3 เดือน จี้ได้ทุกจุด เถ้าแก่หาคนรับช่วงธุรกิจที่จะเจ๊ง คุณคมสันต์อาสาและพาให้ธุรกิจประสบความสำเร็จมาได้
19. “คนไม่ได้เปลี่ยนแปลง ภาษาไม่เปลี่ยนแปลง ต้องวาง Position ให้ถูก อย่าเอาจุดอ่อนตัวเองไปสู้กับจุดแข็งของคนอื่น” เวลาทำธุรกิจกับคนไทย คุณคมสันต์ก็มีจุดเด่นพูดภาษาจีนได้ สื่อสารกับคู่ค้าได้ เวลาเจรจากับคนจีนก็มีจุดแข็งว่าเข้าใจคนไทย
20. “ทำสิ่งที่ไม่ถูกต้องไม่ว่านานแค่ไหนก็ไม่ถูกต้อง ทำสิ่งที่ถูกต้องไม่ว่านานแค่ไหนมันก็ต้องทำ”คือหลักคิดเวลาเผชิญอุปสรรค และกัดฟันผ่านมาได้
21. การบริหารตัวเอง
- ช่วงแรก อยู่กับหน้างาน 100% ลงรายละเอียดทุกอย่างเอง เป็นสายที่ต้องรู้จริง ต้องเหงื่อออก “ถ้าไม่ได้เหงื่อ ก็เหมือนลอยอยู่บนน้ำไม่มีราก”
- ช่วงที่สอง มีเพื่อนร่วมงานที่เก่งและไว้ใจกัน ถ้าบอกว่าไปซ้าย ก็จะไปซ้ายอย่างถูกต้อง แม้เป้นปลายทางที่ผิด บทบาทของคุณคมสันต์คือวางแผนและ direction “กังวลเลือกเวลาที่บุก ไม่ต้องกังวลว่าจะไปถูกไหมเตรียมเสบียงไม่พร้อมหรือเปล่า” ทีมงานที่ดีจะเดินตามแผนได้อย่างแม่นยำ
- ช่วงนี้ จากเหมืองไปอสังหา แล้วมาออลอินกับแฟลช หลังๆ จึงเดินทางคุยกับพาร์ทเนอร์ธุรกิจ เรซฟันด์เพื่อทำให้ธุรกิจเติบโตในระยะยาว
22. มุมมอง Startup “ชีวิตหนึ่งครั้งหนึ่งพอแล้ว หลายครั้งตายกับไม่ตายอยู่แค่คืนนี้และพรุ่งนี้ เป็นชีวิตที่โหดร้ายกับตัวเองและคนรอบข้าง ต้องหาทุกวิธีทางให้อยู่รอด ไปจนถึงพระอาทิตย์ขึ้นพรุ่งนี้”
23. มุมมองทีมงาน
- “พยายามทำด้วยตัวเอง อย่าสร้างทีมออลสตาร์” ช่วงแรกของ Flash ดึงแต่คนเก่งๆ มาเช่น CFO เทพจาก DHL ตอนที่เขายิ่งใหญ่ได้ในอดีตเพราะองค์กรซัพพอร์ต แต่ Startup ไม่มีอะไรเลยมาซัพพอรต์เขาแล้วมันจะรอดได้อย่างไร
- ยกตัวอย่างเทพเคยมีผู้ช่วย 4 คน พอมาที่ Flash ขอ 2 คน แต่ startup ทั้งองค์กรมี 20 คนจะเอาตรงไหนไปสนับสนุนได้
- มีนักคิดกลยุทธ์เก่งๆ แต่สามารถทำได้จริงไหม? Start up ต้องลงรายละเอียดไม่ใช่แค่ว่าแผน High level แล้วก็จบ “เดินยังไง กี่ก้าว ขึ้นดอยลงดอย”
- แต่การมีทีมออลสตาร์ ก็มีข้อดีที่ผู้ลงทุนมีความมั่นใจเพราะเชื่อว่าทีมมีแต่คนเก่งประสบความสำเร็จแน่ๆ
24. คนยิ่งมีการศึกษายิ่งหลอกง่าย มักตกหลุมพรางเดิมๆ เพราะยึดติดระบบความคิดของตัวเอง ดังนั้นเวลาไป pitch คนมาร่วมงานต้องไปขายฝัน มีเงิน มีคนมาลงมุน คนเหล่านี้ ดู next stage ไม่ดูปัจจุบัน
25. “กิจการคุณจะใหญ่เท่าใจของคุณ” สิ่งที่สำคัญมากๆ ในการบริหารทีมคือใจกว้าง ดูแลอย่างทั่วถึง “ถ้าใจแคบให้ได้แค่นั้น ก็ไปได้แค่นั้น”
26. การหาทีมต้องมองอุตสาหกรรมให้ขาด ว่างานประเภทนี้ต้องการความสามารถอะไร ถ้าคนสุขุมได้แค่ Head Office ถ้าเป็นผจก. สาขาคุมขนส่ง ต้องบู๊พอเพราะพนักงานส่งของบางคนก็เป็นหัวโจก แล้วถ้าจะคุมคนที่เป็นหัวโจกก็ต้องลังเลงพอ
27. เป็นผู้ประกอบการ ต้องพร้อมปรับตัวตลอดเวลา ต้องแลกใจกับทีมงาน
28. ถ้าจะลงทุนบริษัทไหน ให้ไปเดินดูใต้ออฟฟิศหลัง 2 ทุ่มว่าไฟยังเปิดอยู่ไหม ถ้าไฟปิดแล้วแปลว่า ไม่มีงานทำ ไม่มีแพชชั่น จะเอาเงินไปลงทุนเพื่ออะไร? แต่ถ้าไฟเปิดอยู่ ยังมีคนทำงานแปลว่าโอเแล้วค่อยไปดูว่าจะทำอะไรต่อ
29. “ขาดทุนไม่ใช่สิ่งน่ากลัว น่ากลัวไม่รู้ว่าเราขาดทุนเพราะอะไร” เหมือนซื้อรถมา แต่ไม่มีผู้โดยสาร เลยขาดทุน แต่ถ้ามีคุณรู้ว่าต้องสร้างทางด่วนก่อนถึงจะมีรถมาวิ่ง แล้วคุณจะได้ตัง คำถามถัดมาคือ จะมีคนมาวิ่งจริงๆ ใช่ไหม?
30. ในกรณีของ Flash คือค่อนข้างมั่นใจว่า Order จะมา แต่ก็มีความเสี่ยงว่าทางด่วนสร้างแล้ว สร้าง Network ระบบขนส่งเสร็จ แต่รถไม่มาสักทีก็ต้องเตรียมเงิน ไม่ยอมแพ้ ไม่ยอมล้มเลิกแล้ววันนึงก็ดวงดีรถมาตามแผนที่วางไว้ ทำให้ธุรกิจไปต่อได้
31. “ต่อสู้กับตัวเองมาเยอะ Flash เป็นจิตวิญญาณ สร้างมาด้วยสองมือ เหมือนผมคลอดลูก อยู่ทุกช่วงทั้งแย่และมีความสุข” คุณคมสันต์เล่าถึงแพชชั่นของการทำงานเช่นนั้น
32. “มองคนที่อยู่กับเราเป็นความรับผิดชอบ คนที่เชื่อมั่น เดินมาพร้อมกับผมต้องได้สิ่งที่ดีที่สุด ทำสม่ำเสมอและทำตลอดไป”
33. ในธุรกิจที่วันนี้หมื่นล้านพรุ่งนี้ติดลบ ต้องเผชิญความกดันมหาศาล แต่ก่อนทำงานมีกินเลี้ยง ดื่มเหล้าวันละขวด แต่ตอนนี้ได้อ่านนิทานให้ลูกก่อนนอน ปัจจุบันอยากพักเรื่องแรงกดดัน และลดความโลภ กลับมาคิดว่าเราสร้างคุณค่าอะไรได้มากกว่า ตอนนี้เงินและความสำเร็จก็เป็นปัจจัยสำคัญ แต่ไม่ใช่อันดับ 1 เหมือนเมื่อก่อน
34. มุมมองกับธุรกิจของจีน
- Startup สมัยใหม่ของจีนสังเกตดีๆ แทบไม่มีบริษัทเกี่ยวกับเทคโนโลยีเลย ธุรกิจส่วนใหญ่คือยกระดับของอุตสาหกรรมเดิม เช่น เครื่องดื่ม ไอติม ร้านอาหารเป็นเชน แม้แต่ขนมขบเคี้ยว ที่เปิดเหมือน 7-11 แต่เป็นขนมล้วนๆ เปิด 15,000 สาขา ภายในเวลา 3 ปี
- ธุรกิจเหล่านี้มาบุกไทยแน่ๆ ออฟไลน์มาแน่ๆ ง่ายกว่าเป็นบริษัทเทคมาบุก
- ในสายตาของคนต่างชาติ ประเทศไทยพร้อมทุกอย่าง เป็นแหล่งบ่มเพาะธุรกิจที่ดีที่สุด ด้วยอุปนิสัยของคน ข้อกฎหมาย รวมถึงธุรกิจท้องถิ่นที่ยังไม่แข็งแรงพอ ทำให้แข่งขันได้ง่าย
- ธุรกิจจากต่างประเทศ มาบ่มเพาะที่ไทยก่อนแล้วค่อยไปต่อ ไม่ได้คาดหวังกำไรมากนัก
35. คำถามคือ ประเทศไทยเราเหลือโอกาสอะไร? Entertainment complexe (บ่อน)?, Hospitalital & Service ? ก็พอได้ แต่ต้องเป็นธุรกิจที่ทำให้เก่งและชนะขาดลอย แข็งแรงจนใครแข่งกับคุณไม่ได้ ถ้าล้มคือประเทศล้ม
36. เมื่อมีคนถามถึงบริษัทอื่น “เค้าวิชาการ ผมลูกทุ่ง ชอบเหงื่อไหล ชอบจับต้อง ไม่รู้จริงไม่ทำ รู้จริงทำได้ดีที่สุด คุณคมสันต์ให้ความสำคัญกับการลงสนามและทำจริงมากๆ
37. มุมมองต่อนักธุรกิจจีน คือ “น้ำลึกเกินมองไม่เห็น ซ่อนลึกเกิน“
- ยกตัวอย่างเวลาไปแข่งโอลิมปิก ถ้าเจอฝรั่ง ฝรั่งบอกซ้อมวันละห้าชั่วโมง ขยันมาก ชนะแน่นอน
แต่คนจีน จะบอกช่วงปัญหาเยอะ ไม่ค่อยได้ซ้อม มีปัญหาครอบครัวด้วย - แข่งจบ จีนชนะสิบเอ็ดต่อศูนย์ ที่จริงคือซ้อมวันละสิบชั่วโมง สไตล์ “มาเงียบๆ รู้ตัวอีกที เอาปืนจ่อหน้าบ้าน“
38. เปรียบเทียบผู้ประกอบการจีนในแง่ของการตัดสินใจ ถ้าอยู่ในอดีตคงฆ่าคนเป็นว่าเล่น ยกตัวอย่าง บริษัท Huawei ตัดแผนก AI วันรุ่งขึ้นประกาศทันทีลดพนักงาน 3,000 คน เพราะเขาต้องดูแลภาพใหญ่ทั้งบริษัท 5-6 หมื่นคน ถ้าไม่ตัดทันทีแล้วเกิดบริษัทเจ๊งใครจะรับผิดชอบ
39. สุภาษิตจีน ฉีเชิง ทำตัวเองให้ยืนขึ้นแบบตั้งตรง ครอบครัวต้องมั่นคง ถึงไปบริหารระดับประเทศได้ เดินไปทีละก้าว ทุกคนต้องมีทัศนคติไม่เป็นภาระแก่คนรอบข้าง
40. ทุกอย่างมาจากสิ่งที่เราอยากได้ ถ้าสิ่งที่อยากได้ยิ่งใหญ่พอเจออุปสรรคมันก็เรื่องเล็ก เพราะเรารู้ว่าผ่านจะได้สิ่งใหญ่
41. ตั้งเป้าหมายชีวิตทุกปี ทุกช่วง ’เป้าหมายมันต้องใหญ่พอทีเราจะรับปํญหา ของตอนนี้และอนาคต‘
42. ล้มเหลวมาเยอะ ผิดมาเยอะ เรียนรู้จากสิ่งนั้น เรียนรู้จากคนรอบข้าง
43. เวลาอ่านหนังสือในหัวมีสองโหมดทันที ความคิดไหลเป็นสองซีก
- อันแรกเหมือนเราเป็นตัวละครของเขา เขาคิดอะไรในเหตุการณ์นี้
- โหมดสองเชื่อมอัตโนมัติกับประสบการณ์ที่เราเคยผ่าน จัดการอย่างไร เหมือนไม่เหมือนอย่างไร อันไหนเหมาะสมมากกว่าและเรียนรู้จากเขา
- สรุปคือ ผมฐานะเป็นเขา ผมฐานะที่เป็นผม และจะทำยังไงที่เรียนรู้มากกว่านี้ได้
44. บริหารลูกน้องใกล้ชิดยังไง?
- อยากได้คนแบบไหนให้บ่มเพาะตั้งแต่ต้น บอกให้ชัดว่าอะไรห้ามทำ ถ้าอันไหนทำแล้วดีก็ให้กำลังใจ
ให้พวกเขามีหลักการในขอบเขต ถ้ามาแล้วทำงานไม่เต็มที่จะมาทำไม - มีความแข่งขันสูง เน้นผลลัพธ์ เน้นวิธีการ มากกว่าภาพลักษณ์หรือสิ่งที่สวยหรูออกไป
- Flash ให้บริการใน 6 ประเทศ พนักงานเป็นแสนคน ไม่ได้ถูกใจคนส่วนใหญ่ แต่ถูกต้องในเวลานี้
- คนที่มีการศึกษาใช้ภาษาบ่มเพาะทัศนคติ แต่ชนชั้นปฎิบัติการ ต้องควบคุมการประพฤติให้อยู่ในกรอบ ทัศนคติถึงจะเปลี่ยนได้ เช่นจากติดป้ายเข้างานเก้าโมง ซื่อสัตย์ต่อเวลา เปลี่ยนเป็น ถ้ามาสายโดนปรับ 5 นาที 500 บาท จะมาทำงานทำไมถ้ามาสายแล้วไม่ได้เงิน
45. ความซื่อสัตย์ ต้องมีตัวชี้วัด
- ถ่ายเลขไมล์รถ ตอนเริ่มและกลับ เอามาเทียบกับน้ำมันที่เติมไปว่าตรงกันไหม
- มีเคสหมุนไมล์บ้าง ถ่ายไม่ชัดบ้าง ถ่ายรถเพื่อนบ้าง แต่ถ้าวันนี้โกงพรุ่งนี้ก็โกงไม่ได้ เพราะไมล์มันวิ่งต่อ
46. ’สัจธรรมมนุษย์ ตอนเหนื่อยสามัคคีกันสุดๆ‘ แต่ในตอนที่ควรจะดีใจที่สุดกลับทะเลาะกัน
47. “Spirit ของ CEO คือกูตายก่อนทุกคน กูอยู่หน้าสุด’”
——-
สำหรับคนที่ชอบอ่านสั้นๆ
ประเด็นสำคัญที่เห็นได้ชัด คือ แนวคิดเรื่องการลงสนามจริงและการเป็นผู้นำที่อยู่ “หน้าสุด” โดยไม่ทิ้งทีมไว้ข้างหลัง นอกจากนี้ยังเน้นเรื่องความท้าทายในการเป็นผู้ประกอบการและการปรับตัวในสภาพแวดล้อมที่ไม่แน่นอน ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการทำธุรกิจสมัยใหม่
นี่คือบางส่วนของจุดสำคัญที่สะท้อนถึงวิธีคิดของคุณคมสันต์:
1. การทำงานอย่างหนักและการลงมือทำด้วยตัวเอง: ไม่ใช่แค่ทำให้เสร็จแต่ต้องทำอย่างดีที่สุด แม้จะเจออุปสรรคแค่ไหนก็ต้องไม่ยอมแพ้
2. การเข้าใจภูมิหลังและวัฒนธรรมจีน: เป็นการเตรียมตัวก่อนจะทำธุรกิจกับนักลงทุนจีนที่มีการแข่งขันสูงและการตัดสินใจที่เด็ดขาด
3. ความท้าทายในการสร้างธุรกิจ: จากการขุดหาความสำเร็จในสถานการณ์ที่ไม่แน่นอน และการจัดการปัญหาทุกอย่างด้วยความละเอียดรอบคอบ
4. การสร้างทีมที่แข็งแกร่ง: ไม่ใช่แค่ดึงคนเก่งมา แต่ต้องมีทีมที่พร้อมลงมือทำจริง
5. การมองอนาคตและการบริหารความเสี่ยง: ต้องกล้าลงทุนในสิ่งที่ยังไม่แน่นอน แต่มีการวางแผนและเตรียมพร้อมทุกอย่างเพื่อให้สำเร็จในระยะยาว
——-
ถ้ามีซักข้อที่เอาไปปรับใช้กับธุรกิจของคุณได้ก็คุ้มค่าการอ่านล่ะ
ขอบคุณพี่โจ้และแนตตี้ ที่ระดมยิงคำถามเพื่อแกะแนวคิดของคุณคมสันต์นะครับ