ธุรกิจของเรามี “ท่าไม้ตาย” หรือยัง? โดย พี่หนึ่ง ครรชิต
1. เวลานักลงทุน จะลงทุนในธุรกิจจะดูอยู่ 2 ประเด็น คือ “ธุรกิจนี้จะโตต่อมั้ย?” และ “ถ้าจะโตต่อจะโตแบบอย่างยั่งยืนหรือไม่?”
2. การเติบโตของธุรกิจ จะมี 2 ลักษณะคือ “โตแรงแต่มาสั้น” กับ “ค่อยๆ โตแต่มายาวๆ”
3. หลักการลงทุน ไม่ใช่การลงทุนได้ผลตอบแทนสูงสุด แต่เป็น ”ห้ามขาดทุน“ ดังนั้นนักลงทุนจะเลือกบริษัทที่เติบโตยาวๆ มากกว่าโตแค่ 1-2 ปี แล้วจบเลย
4. “จับกลุ่มลูกค้าผิด…ชีวิตเปลี่ยน” ถ้าอยากให้บริษัทเติบโต เราควรรีวิว business model อย่างน้อย ปีละ 1 ครั้ง และให้เริ่มจากการทำ Customer Segmentation ก่อน (อ่านจากขวาไปซ้าย)
5. เพราะชีวิตการทำงาน ระหว่างบริษัทเติบโต กับ บริษัทที่ไม่โตแล้ว มันคนละเรื่องกัน … ถ้าทำงานในบริษัทที่ไม่โตแล้ว วันๆ ก็จะทำแต่ลดคน ลด cost ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องสนุก
6. ทุกบริษัทอยากที่จะเติบโต แต่เราทุกคนมีทรัพยากรจำกัด เรามีเวลาแค่ 24 ชั่วโมง เรามีเงินจำกัด ดังนั้นโจทย์ที่ผู้บริหารต้องคิดเสมอ คือ “ทำยังไงให้ใช้ทรัพยากรอย่างจำกัด แต่ได้ผลลัพธ์เยอะที่สุด?”
7. เราลงมือทำไป 100 เราจะ “ไม่ได้” กลับมา 100 เพราะกฏของฟิสิกส์บอกว่า มันจะมีแรงเสียดทานเสมอ ดังนั้น “ถ้าอยากได้ 100 เราต้องทำเกิน 100 เท่านั้น“ ซึ่งแรงเสียดทานส่วนใหญ่ คือ การที่ผู้บริหาร “ไม่กล้าออกจาก Comfort Zone”
8. “การเติบโตที่ง่าย คือการเติบโตที่เป็น Mega trend” และมันมีให้เราเห็นตลอดชีวิต คำถามสำคัญคือ “เราจะจับมันหรือเปล่า?”
9. เวลาคนรวยขึ้น Mega trend จะเปลี่ยนไป เช่น สมัยก่อน เปิดธุรกิจรับเสริมจมูกคงไม่รอด เพราะกำลังซื้อยังไม่มา หรือ ให้ไปทำ clinic หรูในพม่าตอนนี้ก็คงไม่รอด
10. ยิ่งเอา technology มาใช้คู่กับ Mega trend ยิ่งได้เปรียบ เช่น 7-Eleven เป็นบริษัทแรกที่นำระบบคิดเงินแบบ POS มาใช้เจ้าแรก กว่าคู่แข่งจะนำมาใช้บ้าง ก็ช้าไป 2 ปีแล้ว ส่งผลให้บริษัท scale จนคู่แข่งตามไม่ทัน หรือ เข้ามาไม่ได้อีกแล้ว
11. “ท่าไม้ตายที่แท้จริง” คือ วิธีการที่สามารถเปิดเผยให้คนทั้งโลกรู้ว่าทำยังไง แต่ไม่มีใครสามารถลอกเลียนแบบได้ เพราะ “การเห็นโอกาสนั้นไม่ยาก แต่ การเอาโอกาสมาทำนั้น…ยากกว่า”
12. สมมติถ้าเราหา Mega trend เจอแล้ว จุดต่อไป เราต้องหา “Sweet Spot” ให้เจอ นั่นคือ จุดที่ “ลูกค้าต้องการ + เราทำได้ดี + คู่แข่งทำไม่ได้“
13. วิธีการหาจุด Sweet spot ให้เราเอา ”ลูกค้า“ เป็นตัวตั้ง แต่สิ่งที่บริษัทส่วนใหญ่ทำกัน จะเอา ”จุดแข็งบริษัท“ เป็นตัวตั้ง ซึ่งก็ไม่ได้ผิด แต่จะยืนระยะได้ไม่ยาวกว่า
14. Founder จะมี 2 แบบ คือ ”รู้ตัวและเข้าใจ“ กับ “รู้ตัวและเข้าใจ…แล้วทำได้” การ “รู้ตัว” นั้นหมายถึง
- รู้ตัวว่าตัวเองไม่สามารถทำราคาได้ต่ำสุด
- รู้ตัวว่าเรามี ทรัพยากรจำกัด
.
15. คำว่าเข้าใจ หมายถึง ”เข้าใจลูกค้า“ วิธีการคือ เอาลูกค้ามาทำ segmentation ซอยให้ละเอียด หา pain point แต่ละกลุ่ม และ วิเคราะห์ว่า segment ไหนที่เราสามารถ scale ได้
16. Business Model ต้องคิดให้ win-win เช่น ธนาคารเปิดในห้าง ค่าเช่าสูง แต่ไม่ต้องไปสร้างที่จอดรถ ไม่ต้องจ้าง รปภ. ไม่ต้องทำห้อง VIP ใหญ่โต
17. ห้างสรรพสินค้า เปลี่ยน Business Model จากการจับกลุ่มลูกค้า “คนเดินห้าง หรือ คนที่มาเช่าที่ ” เปลี่ยนเป็น “จับกลุ่มลูกค้าที่อยู่อาศัย” สมัยนี้เลยนิยมทำคอนโดในห้างเลย ส่งผลให้ได้กำไรเร็วขึ้นจากการขายคอนโด
18. ดังนั้น จุดที่ดีที่สุด คือ “จุดที่เราทำในสิ่งที่ลูกค้าต้องการได้ดีแค่เจ้าเดียวในตลาด” เพราะถ้าไปซ้ำกับคนอื่น ตัวหารมันจะเยอะ เมื่อหาเจอแล้ว ต้องทำให้คนอื่นลอกเลียนแบบไม่ได้ ซึ่งจะกลายเป็น “ท่าไม้ตาย”
19. เราต้องวิเคราะห์ให้ออกว่า เราจะสร้างท่าไม้ตายได้อย่างไร เพราะบางธุรกิจต้องคุม cost, บางธุรกิจต้องคุม quality, บางธุรกิจต้องคุม service ซึ่งวิธีการทำงาน วิธีการสื่อสารนั้น แตกต่างกันทั้งหมด
20. ”ท่าไม้ตายที่เจ๋งที่สุด ต้องคิดมาแบบเลือดตาแทบกระเด็น“ ถ้าคิดแค่ 1-2 วันได้ นั่นไม่ใช่ท่าไม้ตาย เพราะมันเกิดจากกระบวนการหา Mega trend และ pain point ของลูกค้า และถ้าเราหาไม่เจอ เราจะโตลำบาก
21. เมื่อเราเจอ “ท่าไม้ตาย” แล้วให้ถามตัวเอง 3 คำถาม คือ
- ใจเราไหวมั้ย? (เพราะต้องทำเกิน 100 และอาจต้องลงทุนเยอะในช่วงแรก)
- เรามี Know How มั้ย?
- เราต้องเปลี่ยน Infrastructure หรือ คนของเราใหม่มั้ย?
.
22. ”ท่าไม้ตายแต่ละท่า ต้องแปลงเป็นงบการเงินได้“ เพราะบางท่ามันทำรายได้โต บางท่าทำกำไรโต แต่บางท่ามันไม่มี working capital (ลงทุนไปก่อน แต่ได้เงินคืนช้า)
23. การทำให้บริษัทเข้าตลาด “ไม่ใช่เป้าหมายแรก และ ไม่ใช่เส้นชัย” เพราะ ต้นทุนทางการเงินที่ถูกที่สุดคือ “เงินกู้” ไม่ใช่การขายหุ้น ดังนั้นเราขาดอะไรกันแน่ “เงิน หรือ Know how?”
24. จะทำธุรกิจเราต้องมองภาพใหญ่ให้ครบ ให้เราเดินหาท่าไม้ตายไปด้วย และป้องกันความเสี่ยงไปด้วย คำถามสำคัญคือ ปัจจุบัน “คนในสายงานของเรา ป้องกันความเสี่ยงให้เรามั้ย?”
25. การบริหารความเสี่ยง คือ การป้องกัน และ ถ้าเจอปัญหาแล้วต้องอย่าให้เกิดซ้ำ วิธีการคือ
- List ความเสี่ยงออกมาให้หมด
- หาวิธีป้องกันความเสี่ยง และ ใส่ไว้ใน Day to Day Operation
- เขียนคู่มือเป็น Bible ให้พนักงานเก่า-ใหม่ได้เรียนรู้
.
26. “ท่าไม้ตาย….มีหมดอายุ” S-Curve ยังไงก็ต้องมีจุดจบ เราต้องรู้ว่าบริษัทเราตอนนี้อยู่ใน stage ไหน ดังนั้นผู้บริหารต้องมี data และตัวชี้วัด ถ้าเราเลือกถูกตัว เราจะรู้ว่าท่าไม้ตายเราหมดอายุหรือยัง สำคัญคือ อย่าไปรอให้ “ยอดตก ขาดทุน แล้วค่อยเปลี่ยน”
27. ถ้าเราเจ๋งจริง ให้ปั้นธุรกิจให้ชนะไประดับโลก โดยทำให้ถูกต้อง อย่าผิดกฏหมาย และต้องทำให้ประเทศไทยของเราดีขึ้น
ขอบคุณพี่หนึ่งสำหร้บการมาแชร์ WISDOM นะครับ