“ลูกคิด ณภัทร” กับ ชีวิตติด Data & AI

22 September 2025

Share on

ในยุคนี้ที่ใครๆ ก็พูดถึง AI กับมุมมองว่าจะใช้ AI ทำอะไรดี จะใช้สร้างรายได้ได้ยังไง แต่คุณลูกคิด นักเศรษฐศาสตร์ผู้เปี่ยมด้วยวิสัยทัศน์และความจริงจัง กลับมองไปถึงการใช้ AI มาประยุกต์ใช้กับนโยบายสาธารณะที่อาจจะช่วยแก้ไขปัญหาหลายๆ ด้านของประเทศไทย ซึ่ง H.O.W ได้มีโอกาสพูดคุยกับ “ลูกคิด” ณภัทร จาตุศรีพิทักษ์ ดีกรีที่ไม่ธรรมดาบวกกว่าแพสชั่นที่หาใครเทียบ ทำให้เขาได้มาอยู่ในจุดที่ว่าใช้ AI เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตไปแล้ว ไปจนถึงเอา AI มาสร้างธุรกิจของตัวเอง ด้วยแนวคิดที่อยากรู้ว่า “ทำธุรกิจ no idea ด้วยตัวคนเดียว โดยมี AI ช่วย” ที่กลายมาเป็นยาดม NuaNose มุมมองแต่ละเรื่องของเขา ยิ่งได้อ่าน ก็ยิ่งน่าสนใจ

 

ค้นพบแพสชั่น: จากเด็กดีสู่โลกแห่งข้อมูลที่น่าหลงใหล

คุณลูกคิดเล่าว่าในวัยเด็ก เขาเป็นคนทนและเป็นเด็กดี เรียนตามที่พ่อแนะนำ ไม่ได้รู้ทันทีว่าตัวเองชอบอะไรจริงๆ จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นเมื่อเรียนปริญญาโทที่ Johns Hopkins ในวิชา “เศรษฐมิติ” ซึ่งเป็นวิชาที่เพื่อนคนอื่นๆ พากันหนี แต่เขากลับรู้สึกว่า “น่าค้นหามาก” เขามองเห็นว่านโยบายต่างๆ ทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นนโยบายการเงิน เศรษฐกิจ การศึกษา หรือแม้แต่การสร้างโครงสร้างพื้นฐาน สามารถ “วัดผลได้” ด้วยข้อมูล การได้เห็นวิธีวัดผลที่ไม่เคยเห็นมาก่อนนี้ ทำให้คุณลูกคิดรู้สึกน่าจะมาทางนี้แน่นอน แม้จะต้องเรียนคณิตศาสตร์เยอะหรือเขียนโปรแกรมก็ไม่ถือเป็นอุปสรรคเลย

 

จากความสนใจนี้เอง คุณลูกคิดเบนเข็มจากอาชีพนักการเงินที่เคยใฝ่ฝัน เขาเริ่มศึกษา Data Science หรือวิทยาศาสตร์ข้อมูลอย่างลึกซึ้งขึ้น เพราะรู้สึกว่านี่คือ “Megatrend สุดๆ” ที่มีคนเข้าใจน้อยมากแต่มีประโยชน์มหาศาล ตั้งแต่นโยบายการศึกษาไปจนถึงมุมมองทางธุรกิจ นี่คือจุดเริ่มต้นในอาชีพของคุณลูกคิด ก่อนที่กระแส AI จะเข้ามาครอบงำโลกในปัจจุบันเสียอีก เขาต่อยอดความรู้ด้วยการเรียนปริญญาเอกด้านเศรษฐศาสตร์ ที่เน้นการศึกษาว่านโยบายแบบไหนให้ผลตอบแทนเท่าไร และวัดผลอย่างไร รวมถึงประเด็นอย่างฝุ่น PM 2.5 ที่ส่งผลต่ออัตราการเสียชีวิต

 

การไปฝึกงานที่ Harvard Kennedy School ยิ่งตอกย้ำความเชื่อนี้ เมื่อเห็นอาจารย์วัดผลนโยบายอย่างจริงจังในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แต่ผลลัพธ์ยิ่งใหญ่ เช่น การตัดสินใจปิดโรงเรียนในวันหิมะตกหนัก เพื่อให้เด็กทุกคนมีโอกาสทางการศึกษาเท่าเทียมกัน และไม่ทำให้เกิดปัญหาการเรียนไม่ทันในกลุ่มเด็กด้อยโอกาส นี่คือแพสชั่น ที่ทำให้เขาเป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่ “ผิดปกติ” ไม่ได้เดินตามเส้นทางอาชีพเดียวกับเพื่อนร่วมรุ่นส่วนใหญ่ที่ไปเป็นนักเศรษฐศาสตร์หรือนักการทูตทั่วไป

 

 

ความผิดหวังในภาคนโยบายสู่โอกาสทางธุรกิจ

เมื่อกลับมาเมืองไทย คุณลูกคิดตั้งใจสานฝันเรื่องข้อมูลต่อ โดยเสนอไอเดียให้กระทรวงศึกษาธิการสร้างฐานข้อมูลนักเรียนทั้งประเทศเพื่อศึกษาผลกระทบของปัจจัยต่างๆ ต่อชีวิตคนไทย แต่ผลตอบรับที่ไม่เป็นไปตามคาด คุณลูกคิดเชื่อว่านี่เป็นเพราะปัญหาของประเทศไทยคือ ไม่รู้ว่าทำอะไรแล้วคุ้มทุน แต่ประเทศที่พัฒนาน้อยกว่าไทยก็ยังให้องค์กรระดับโลกเข้ามาช่วยวัดผลนโยบายสาธารณะ สิ่งนี้ทำให้คุณลูกคิดรู้สึกว่าตนเองใจร้อน เกินกว่าจะทำงานด้านนโยบายสาธารณะโดยตรงในเวลานั้น

 

จากความรู้สึกผิดหวัง ทำให้คุณลูกคิดหันมาลองทำงานในภาคเอกชน และพบว่าแม้ในวงการธุรกิจเอง คนทำเรื่อง Data Science น้อยกว่าที่คิด  ก็เห็นโอกาสในการตั้งบริษัทที่ปรึกษาด้าน Data Science ในนาม “Siam Consulting” เพื่อนำเสนอโซลูชันแก่ธุรกิจ

 

บริษัทของคุณลูกคิดมุ่งเน้นงานที่ไม่มีใครอยากรับ เช่น การบูรณาการข้อมูลเครดิตบูโร การตรวจจับการปั่นหุ้นและการซื้อขายภายในด้วย Data Science ให้ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือแม้แต่งานวิจัยเกี่ยวกับอุบัติเหตุบนท้องถนน งานเหล่านี้เป็นความลับสูง บริษัทประชาสัมพันธ์ได้ไม่มากนัก

 

คุณลูกคิดยังได้ยกตัวอย่างงานวิจัยเรื่องอุบัติเหตุทางถนน ซึ่งพบว่าคนไทยเสียชีวิตจากอุบัติเหตุปีละกว่า 20,000 คนมานานกว่า 10 ปี ส่วนใหญ่เป็นอุบัติเหตุของรถจักรยานยนต์ในเวลากลางคืนและช่วงเช้ามืด แต่กลับไม่มีนโยบายใดๆ ที่มุ่งเป้าแก้ไขปัญหานี้โดยเฉพาะ และการรณรงค์ช่วงเทศกาลอย่างเดียวก็ไม่ช่วยแก้ปัญหาในภาพรวม เคยพูดเล่นๆ ไว้ว่า ถ้าไม่มีคนขับรถในเวลากลางคืนก็ไม่มีอุบัติเหตุ จนได้พิสูจน์ในช่วงเคอร์ฟิวโควิด-19 ที่ไม่มีใครตายบนถนนเลย เป็น “Natural Experiment” ที่พิสูจน์ว่าหากตั้งใจจริง ปัญหานี้แก้ไขได้

 

 

ความท้าทายและการสร้างบุคลากรในโลก Data Science

คุณลูกคิดมองว่าเหตุผลที่ผู้เชี่ยวชาญด้าน Data Science ในไทยมีน้อยมากเป็นเพราะ “วัตถุดิบมันน้อย”. งานที่บริษัทเขาทำส่วนใหญ่เป็นงาน at the frontier ที่ยาก ซับซ้อน และไม่สามารถหาตำรามาอ้างอิงได้ นอกจากทักษะทางเทคนิคแล้ว ยังต้องมีความเข้าใจบริบทของลูกค้าที่ซับซ้อน เช่น ธนาคารหรือตลาดหลักทรัพย์ คุณลูกคิดต้องการให้สยาม Consulting เป็น “ที่ปั้นคนเก่งระดับประเทศ” แม้จะเป็นธุรกิจขนาดเล็ก แต่ก็ภูมิใจที่สามารถส่งพนักงานไปเรียนต่อที่ Harvard หรือทำงานต่อที่ Amazon ได้

 

เขายังเผยถึงความจริงที่ว่า แม้แต่งานด้านนี้ในไทยก็ยังมีผู้เชี่ยวชาญน้อยมากจนคู่แข่งในตลาดแทบจะรู้จักกันหมด เพราะ “งานมันเยอะเกิน” ความต้องการสูงกว่าจำนวนบุคลากร นี่คือ “วิกฤต” เพราะมันหมายความว่าประเทศจะไม่มีคนไปสร้างนวัตกรรม เขาเชื่อว่าการทำแอปพลิเคชันเป็นเพียงส่วนเล็กน้อยของธุรกิจทั้งหมด (แค่ 10%) ที่เหลือคือการปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กร การ roll out และการสร้าง mentality ให้เกิดการ transformation ซึ่งเป็นเรื่องยากสำหรับองค์กรขนาดใหญ่ที่มีประวัติศาสตร์และคนจำนวนมาก

 

AI: ไม่ทำไม่ได้แล้ว และต้องเข้าใจธรรมชาติของมัน

เมื่อพูดถึงกระแส AI คุณลูกคิดเน้นย้ำถึงความสำคัญของการรู้ทิศทางสำหรับเรื่องข้อมูล เพราะการเก็บข้อมูลและการออกแบบระบบไม่ใช่เรื่องที่จะทำมั่วๆ ได้ ต้องคิดก่อนว่าต้องการอะไร อยากวัดอะไร จึงจะสำเร็จและสิ้นเปลืองน้อยลง

 

แต่สำหรับ AI เขามองว่ามันเป็นเรื่องที่แตกต่างออกไป มันคือ megatrend ที่ใหญ่มาก เป็นเรื่องของ workforce ที่อาจจะเห็นหุ่นยนต์มาผลิตเดินไปมาอยู่ในโรงงานแทนคน คุณลูกคิดเตือนว่าธุรกิจมีเวลาแค่ 5 ปี ในการคิดว่าจะอยู่รอดอย่างไรใน “โลกคนเหล็ก” เพราะต้นทุน AI ถูกลง คู่แข่งเข้าถึงได้ง่ายขึ้น และ AI ก็ฉลาดขึ้นแบบ Exponential

 

โจทย์ใหญ่คือการหาทางให้ “คนกับหุ่นมาผสมกัน” เพื่อส่งมอบงานให้ได้ดีกว่าคู่แข่ง คุณลูกคิดเน้นย้ำว่า มันเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับ HR เกิน 80% เจ้าของธุรกิจต้องคิดให้ดีว่าจะเลือกและรักษาคนแบบไหน คนที่มีทักษะที่ AI ทดแทนไม่ได้ เช่น Emotional Intelligence, Communication Skill, การเป็นที่รักของลูกค้า เพราะบางทักษะให้ AI ทำแทนได้เลย เขาเผยว่าบางงาน Chat GPT เวอร์ชั่น 200 ดอลลาร์ต่อเดือนก็ทำได้ดีจนไม่แน่ใจว่า บางคนจะอยู่ยังไง การลงทุนกับ AI ไม่ได้แพงเสมอไป บางครั้งแค่หลักร้อยหลักพันบาทต่อเดือนก็สามารถเพิ่ม Productivity ได้เทียบเท่าคนหนึ่งคน

 

 

ViaLink: พนักงาน AI

จาก pain point ที่พบบ่อยในหลายองค์กร คุณลูกคิดได้ก่อตั้งบริษัท ViaLink โดยมีผลิตภัณฑ์ชื่อ “Manuel” ที่ล้อไปกับคำว่า “Manual” เพราะเกิดจากความตั้งใจที่จะแก้ไขปัญหาความ manual ของการทำงาน คุณลูกคิดเล่าว่า ViaLink เกิดจากการสังเกตว่าบริษัทต่างๆ มีระบบที่หลากหลายและไม่เชื่อมโยงกัน ทำให้พนักงานต้องทำงาน Manual ซ้ำซาก เช่น การกรอกข้อมูลจาก Line หรืออีเมลลงในระบบอื่นๆ จึงตั้งใจสร้าง Manuel ให้เป็น “เพื่อนพนักงาน” หรือ “เดอะแบก” โดยที่ไม่ได้เข้าไปเปลี่ยนระบบอื่นๆ

 

เขาเชื่อว่างาน Manual เหล่านี้ไม่ควรเป็นงานมนุษย์ตั้งแต่แรก มันทำให้สิ้นเปลืองในมุมบริษัท พนักงานไม่มี Good lifestyle และเกิด Human Error ได้ง่าย Manuel ถูกออกแบบมาให้ใช้งานง่าย คุยกับเค้าได้เลยว่ามีหน้าที่อะไร เหมือนพนักงานคนนึง  แม้แต่ข้อควรระวังพิเศษก็สามารถเรียนรู้ได้ แล้วสุดท้ายก็จะส่ง output ออกมาได้เหมือน report เลย ผลลัพธ์คือธุรกิจสามารถประหยัดต้นทุนได้อย่างน้อย 40% และที่สำคัญที่สุดคือ ทำให้พนักงานที่เหลืออยู่แฮปปี้ เมื่อพนักงานไม่ต้องทำงาน Manual เหล่านี้ พวกเขาก็สามารถกลับไปทำงานที่ตรงกับ Job Description ที่คาดหวังไว้มากขึ้น

 

ที่สำคัญ Manuel รับหน้าที่ได้หลากหลายมาก ตั้งแต่ Sales Assistant, Supply Chain Analyst และอื่นๆ ตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำ  และจุดแข็งของ Manuel คือความสามารถในการ “เชื่อมได้ทุกระบบ” สิ่งนี้ทำให้ธุรกิจไทยที่เคยมีปัญหาการเชื่อมโยงข้อมูล สามารถใช้ Manuel ได้อย่างไร้รอยต่อโดยไม่ต้องเปลี่ยนระบบเดิม

 

ขอบคุณภาพจาก Facebook : NuaNose

 

Manuel AI สุดเก๋าช่วยปั้นแบรนด์ NuaNose

ย้อนกลับไปตอนต้นที่ได้เกริ่นไว้ว่า คุณลูกคิดมีแนวคิดที่อยากลองใช้ AI สร้างธุรกิจตั้งแต่ต้น จนเป็นที่มาของยาดม NuaNose โดยจุดเริ่มต้นคือ อยากทำยาดมที่เน้นฮา เน้น meme

 

Step แรกคือใช้ Manuel AI โดย @vialink เพื่อ brainstorm ไอเดียธุรกิจ เป็นคู่หูเพื่อถกไอเดีย ระดมสมองกับ Manuel ได้ทั้ง concept, ชื่อ, tagline ฯลฯ รวมถึงได้แผนธุรกิจฉบับย่อๆ เอาไว้เป็น reference + คุยกับคนอื่นได้ และได้ถือกำเนิดเป็นชื่อ “NuaNose: Scents of Prosperity” แบรนด์ยาดมสำหรับคนทันสมัย เหนื่อย โสด ซวยแค่ไหนก็ไม่หวั่น สูดนัวโนสปื๊ดเดียว หอม…กลิ่นความเจริญ ได้ทั้งเรื่องชีวิต เศรษฐกิจ และสังคมในปื้ดเดียว 

 

แต่ไม่ใช่แค่นี้  Manuel ยังเสนอชื่อกลิ่นสุดครีเอทมามากมาย เช่น กลิ่น Temple Run (สำหรับสายมูล่าวัด) กลิ่น Happy Ending (สายนวด) กลิ่น Meeting that could‘ve been an email และกลิ่น Copium (สายกาวคริปโต ที่ต้องรอดพ้นทุก dips) สักพักผมก็เลือกได้ prototype มา 3 กลิ่น คือ

  • “PayDay” เอาไว้ช่วยให้อดทนจนถึงวันเงินเดือนออก ผสมผสาน notes ของเงินสดและ hint of มาม่า เล็กน้อย เป็นกำลังใจให้มนุษย์เงินเดือนทั่วประเทศ
  • “Soulmate Summoner” เอาไว้ช่วยเสริมดวงความรัก ให้พบรักแท้ กลิ่นนี้สาวๆ และป้าๆ ชอบมาก มีคู่แล้วคู่ก็หลงหัวปักหัวปำ
  • “The Bag” สำหรับเติมพลังเดอะแบก MVP ออฟฟิศผู้แบก PnL แทบทั้งหมดของบริษัท
ผ่านไปไม่ถึง 24 ชั่วโมง ไม่น่าเชื่อว่าทำทุกอย่างที่จำเป็นต่อการสั่งผลิต packaging, some marketing materials เสร็จหมด ส่งแบบเป็นไฟล์ .ai ให้ผู้ผลิตไปผลิตเรียบร้อยให้จัดส่งทันงาน Secret Sauce หลายร้อยขวด เอาจริงถ้าไม่มี AI ไม่มีทางทำทั้งหมดนี่ทันแน่นอนด้วยตัวคนเดียว

 

จากการชาเล้นจ์ตัวเองในวันนั้น สู่การที่ยาดม NuaNose ออกวางขายจริง นี่คือพลังของ AI ที่ใช้สร้างธุรกิจได้ ใครสนใจอยากได้กลิ่นความเจริญ ก็ไปติดตามได้ที่เพจ https://www.facebook.com/nuanose

 

 

อนาคตประเทศไทยและการเลี้ยงดูบุตรในยุค AI

คุณลูกคิดแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับปัญหาภาวะสมองไหลอย่างน่าสนใจ คุณลูกคิดเชื่อว่าหากรัฐบาลไทยสามารถ “ให้สัญญาณว่าเค้าซีเรียสกับชีวิตคนจริงๆ” โดยเน้นเรื่อง Wellness หรือ Wellbeing ของประชาชนและผู้ที่มาทำงานในประเทศอย่างจริงจัง ไม่ว่าจะเป็นสุขภาพกาย สุขภาพจิต อุบัติเหตุ มลพิษ หรือการศึกษา หากเรามีสิ่งเหล่านี้ควบคู่ไปกับการท่องเที่ยวและอาหารที่ดีอยู่แล้ว ก็ไม่ยากเลยที่จะดึงดูดคนเก่งจากทั่วโลกให้มาอยู่และทำงานในไทย เขามองว่านี่คือการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุดและจะนำไปสู่ S-curve ใหม่ๆ ของประเทศ

 

แม้จะมีบทบาทนักธุรกิจ แต่ก็ยังมีมุมบทบาทคุณพ่อ  ในมุมของการเลี้ยงลูกในยุค AI คุณลูกคิดซึ่งมีลูกสองคนมองว่าพ่อแม่ไม่ควรลงทุนมากเกินไปในเรื่อง STEM, Math หรือ Coding เพียงอย่างเดียว เพราะอาชีพเหล่านี้อาจไม่ได้อยู่ถาวรในอนาคต สิ่งที่สำคัญกว่าคือการพัฒนา “ทักษะที่เป็น soft skill” เช่น การทำงานร่วมกับผู้อื่น, Emotional Intelligence. เขาเน้นย้ำถึงการฝึกให้ลูกแก้ปัญหาทางสังคมและพัฒนาทักษะทางอารมณ์ เช่น การจัดการกับความรู้สึกไม่พอใจ การเรียนรู้ที่จะยอมรับความพ่ายแพ้ คุณลูกคิดให้ลูกเล่นหมากรุกบ่อยๆ เพื่อให้ลูก “แพ้ให้เป็นเร็วๆ” และ “อยู่ได้ทั้งๆ ที่แพ้” ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในโลกที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็วและไม่แน่นอน เขามองว่า “ความ stable” ในองค์กรใหญ่ไม่มีอยู่จริงแล้ว เด็กๆ จะต้องชินกับการที่โลกหมุนเร็วขึ้น ท้ายที่สุด เขาเน้นการสร้างความสามารถในการอยู่รอดและความเข้มแข็งภายในให้กับเด็กๆ

 

ขอขอบคุณคุณลูกคิด นักคิด ที่ส่งต่อมุมมองดีๆ ให้คนอื่นได้คิดต่อ

Share on

Most Popular